
“หอการค้าไทย” เตือนรัฐบาลเร่งฟื้นความเชื่อมั่น หลัง Moody’s ลดมุมมองเศรษฐกิจไทย
“หอการค้าไทย” เตือนรัฐบาลรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก หลัง Moody’s ส่งสัญญาณห่วงเสถียรภาพการคลัง ชี้หากไร้แผนชัดอาจกระทบต้นทุนการกู้และการลงทุนในอนาคต
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยมีความกังวลต่อการที่ Moody’s Investors Service ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยจาก “Stable” เป็น “Negative” แม้ยังไม่ใช่การปรับลดอันดับเครดิตโดยตรง แต่เป็นสัญญาณชัดเจนว่าตลาดโลกเริ่มไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลังของไทยในระยะข้างหน้า ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังพยายามดึงดูดเงินลงทุนจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
โดยสาเหตุสำคัญของการปรับแนวโน้มมาจากความไม่ชัดเจนของวินัยการคลัง แผนบริหารหนี้สาธารณะ และศักยภาพด้านรายได้ของรัฐบาล ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นที่ภาครัฐต้องแสดงแผนจัดการการคลังที่ชัดเจน โปร่งใส และสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐฯ อาจกลับมาใช้มาตรการกีดกันทางการค้า หากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมามีบทบาทอีกครั้ง ไทยในฐานะประเทศส่งออกจึงควรเร่งกระจายตลาดใหม่อย่างอินเดีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิม
นายพจน์ ยังเน้นว่า แม้เศรษฐกิจบางด้านยังเปราะบาง แต่ไทยยังมีจุดแข็ง เช่น การบริโภคในประเทศ การลงทุนที่เริ่มฟื้น และอุตสาหกรรมศักยภาพใหม่ อย่าง EV ดิจิทัล และเกษตรแปรรูป ซึ่งจะเดินหน้าได้อย่างมั่นคง หากมีความเชื่อมั่นจากต่างชาติรองรับ ทั้งนี้ หอการค้าไทยมองว่าการปรับลดแนวโน้มเครดิตครั้งนี้ไม่ใช่แค่ประเด็นทางเทคนิคหรือการเงิน แต่คือ “คำเตือนทางนโยบาย” ที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการบริหารประเทศอย่างรอบคอบและมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ด้านศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวเสริมว่า ปัจจัยความเสี่ยงในขณะนี้มาจากสงครามการค้ารอบใหม่ภายใต้ยุค “ทรัมป์ 2.0” ประกอบกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ล่าช้า ซึ่งอาจต่ำกว่า 2% และมีโอกาสชะลอลงเพิ่มเติม หากถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ สูงขึ้น โดยไทยในฐานะประเทศเศรษฐกิจเปิดที่มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศราว 125% ของ GDP ย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ดร.ธนวรรธน์เชื่อว่า ไทยยังมีความแข็งแกร่งทางการคลังจากระดับหนี้สาธารณะที่ต่ำ และมีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมผ่านนโยบายรัฐ แม้ Moody’s จะเตือนว่าประเทศมีความเสี่ยง “ตกชั้น” จากระดับลงทุน แต่ก็ยังไม่ได้สะท้อนสถานะไม่น่าลงทุน เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่าผู้ลงทุนมีความ “สบายใจ” ลดลง ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการระดมทุนผ่านพันธบัตรต่างประเทศสูงขึ้น
ทั้งนี้ นายพจน์ แนะนำว่ารัฐบาลควรใช้โอกาสนี้เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ พร้อมส่งเสริมสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และย้ำว่าแม้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง แต่ไทยยังมีโอกาสและศักยภาพในการรักษาความน่าลงทุน หากบริหารจัดการเชิงรุกด้วยความโปร่งใสและยั่งยืน