
CGSI ชี้ SET ไซด์เวย์กรอบ 1,180-1,230 จุด จับตา บจ.ประกาศงบไตรมาส 1
CGSI คาดดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,180-1,230 จุด สัปดาห์นี้ จับตาผลประกอบการ Real Sector–ตัวเลขเงินเฟ้อไทย ขณะที่เม็ดเงิน LTF เดิมทยอยไหลเข้า TESGX
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ประเมินว่าทิศทางตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในสัปดาห์นี้ (6-10 พ.ค. 68) ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวแบบ Sideway อยู่ในกรอบ 1,180–1,230 จุด โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ช่วงปลายสัปดาห์ก่อน อันเป็นผลจากแรงเก็งกำไรในกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จาก Thai ESGX รวมถึงแรงบวกจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.75%
โดยทิศทางตลาดในระยะสั้นยังขึ้นอยู่กับการรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/68 ของกลุ่ม Real Sector ซึ่งจะทยอยประกาศอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ โดยแนะนำให้นักลงทุนยังคงใช้กลยุทธ์ “Trading เพื่อ Take Profit” เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงกดดันตลาดจากหลายด้าน โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และแนวโน้มที่ไทยจะยังไม่สามารถลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ได้ในระยะสั้น
อีกปัจจัยสำคัญคือการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากกองทุน LTF เดิม มูลค่ารวมกว่า 1.53 แสนล้านบาท ซึ่ง CGSI คาดว่า ประมาณครึ่งหนึ่งจะถูกนำไปลงทุนในกองทุน Thai ESGX (TESGX) ที่มีระยะเวลาถือครอง 5 ปี โดยมีกำหนดเริ่มลงทุนในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอาจรอจังหวะเพื่อขายทำกำไรในตลาด
ขณะที่ในประเทศ มีสัญญาณบวกเล็กน้อยจากแนวโน้มที่รัฐบาลอาจยกเลิกการแจก Digital Wallet เฟส 3 สำหรับกลุ่มอายุ 16–20 ปี รวมถึงกลุ่มที่ยังไม่ได้รับสิทธิ โดยอาจมีการพิจารณานำงบประมาณดังกล่าวไปใช้เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลในการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความกังวลจากการประเมินความเสี่ยงทางการคลังโดย Moody’s ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า
ด้านปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศที่ต้องจับตา ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนเมษายน ซึ่งตลาดคาดว่าจะหดตัว -0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจำนวนมาก อาทิ CPN และ ADVANC (6 พ.ค.), NTL (8 พ.ค.), SHR, BCP, IRPC, LPN, QH, CPAXT, DOHOME, GPSC, OR, SPRC (9 พ.ค.), และ CBG, TU, WHA, MOSHI, TRUE, GFPT, TVO, RBF, TOP, IVL, WHART, SPA (10 พ.ค.)
ในส่วนของหุ้นแนะนำ CGSI เลือก GULF เป็นหุ้น Defensive เด่นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี โดยยังคงประมาณการกำไรปกติเติบโตเฉลี่ย 18% ต่อปีในช่วงปี 2568-2570 จากการควบรวมกิจการ พร้อมให้แนวรับที่ 46.75 บาท และจุดขายทำกำไรที่ 51.25 บาท
ขณะที่ SCB เป็นหุ้นที่มี Dividend Yield สูงประมาณ 8.5–9.8% ต่อปี แม้จะได้รับผลกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งกดดัน NIM ในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ผู้บริหารยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์และการควบคุมต้นทุน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านกำไรสุทธิ โดยกำหนดแนวรับที่ 116 บาท และแนวต้านที่ 122 บาท