
“พีระพันธุ์” ส่อถูกร้องจริยธรรมอีกเรื่อง เอื้อประโยชน์ตั้ง 3 คนสนิทรับตำแหน่งการเมือง
จับตาวิบากกรรม “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ส่อถูกร้อง ป.ป.ช. สอบจริยธรรมอีกเรื่อง หลังพบข้อมูลตั้ง 3 คนสนิทรับตำแหน่งการเมือง แต่ยังมีรายชื่อเป็นกรรมการในบริษัทที่มีนายพีระพันธุ์เป็นผู้ถือหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงาน (4 มิ.ย.68) ว่า รายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ที่มี นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และ นางสาวอมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคำสั่งแต่งตั้งบุคคลใกล้ชิดของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จำนวน 3 คนให้ดังนี้
1.พลโท เจียรนัย วงศ์สอาด (เสธ.เปิ้ล) ได้รับแต่งตั้งเป็น ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการในคณะกรรมการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
2.นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ซึ่งนายพีระพันธุ์ดำรงตำแหน่งนี้ควบคู่ด้วย)
3.นายสยาม บางกุลธรรม ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
แต่ทั้งนี้ มีข้อมูลปรากฏว่า บุคคลทั้งสามดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนของนายพีระพันธุ์ ได้แก่ บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด ซึ่งข้อมูลหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ณ.วันที่ 21 พฤษภาคม 2568 พบว่า พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด และ นายสยาม บางกุลธรรม มีชื่อเป็นกรรมการบริษัท ขณะที่ นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวด้วย
ขณะเดียวกัน นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้มีความสุ่มเสี่ยงที่จะส่งผลในเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือ Conflict of Interest ซึ่งอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยเฉพาะในหมวด 9 ว่าด้วยเรื่องการป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะ และป้องกันไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือของผู้อื่น
ขณะที่ มาตรา 186 วรรคท้าย วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญกำหนดชัดเจนว่า “รัฐมนตรีต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ของตน ผู้อื่น หรือพรรคการเมือง ทั้งทางตรงและทางอ้อม” ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระบุว่า หากมีการแต่งตั้งบุคคลที่มีชื่ออยู่ในเอกสารการจดทะเบียนบริษัทเอกชนให้เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นจริง ก็อาจถือว่าเข้าข่ายละเมิดบทบัญญัตินี้และเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
จากเอกสารจดทะเบียนบริษัทที่เป็นสาธารณะ สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และหาก ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าข่ายกระทำผิด ก็สามารถส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาได้ต่อไป โดยในระหว่างที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองชั่วคราว และหากศาลมีคำพิพากษาว่าผิดจริง จะต้องพ้นจากตำแหน่งทันที และอาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การดำเนินงานของ ป.ป.ช. ซึ่งในหลายกรณีที่ผ่านมา ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดำเนินการล่าช้า หรือมีการดองเรื่องไว้จนคดีหมดอายุความ ทำให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกลไกการตรวจสอบภาครัฐ โดยเฉพาะกรณีของอดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเรียกรับผลประโยชน์ แต่ยังไม่มีคำตัดสินถึงที่สุด