
Webull เปิดตัวระบบใหม่ “DRIP” ทบต้นเงินปันผลอัตโนมัติ พร้อมลุยตลาดหุ้นไทย ก.ย.นี้
Webull Thailand เปิดตัวระบบ DRIP ทบเงินปันผลอัตโนมัติ หนุนสร้างพอร์ตระยะยาว พร้อมเตรียมลุยเทรดหุ้นไทยผ่านแอปเดียวเดือน ก.ย.68
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “Webull Thailand” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Webull Corporation (NASDAQ: BULL) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเทรดออนไลน์ระดับโลก ได้เปิดตัวระบบใหม่ภายใต้ชื่อ Dividend Reinvestment Plan หรือ “DRIP” ระบบที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถนำเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้น กลับมาซื้อหุ้นตัวเดิมเพิ่มโดยอัตโนมัติ
นายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Webull Thailand อธิบายเพิ่มเติมถึงระบบ DRIP ว่า เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนสายระยะยาวที่ไม่ต้องการรับเงินปันผลเป็นเงินสด แต่ต้องการให้เงินลงทุนเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการทบต้น โดยระบบจะทำการซื้อหุ้นตัวเดิมให้ทันทีอัตโนมัติ เมื่อมีเงินปันผลที่สูงกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ (หลังหักภาษี ณ ที่จ่าย) แทนที่จะรับเป็นเงินสดเข้าบัญชี
สำหรับการเปิดตัวระบบ DRIP ในครั้งนี้ แสดงถึงความตั้งใจของ Webull Thailand ในการสนับสนุนนักลงทุนให้สร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดโลกอาจมีความผันผวนจากปัจจัยระยะสั้น การนำเงินปันผลกลับไปลงทุนซ้ำ จะช่วยให้เงินลงทุนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอาจสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เพื่อสร้างความมั่งคั่งระยะยาวผ่านระบบ DRIP รวมถึงเข้าถึงฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุน ETFs หรือสัญญาออปชันของหุ้นและดัชนีสหรัฐฯ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Webull Thailand ได้แล้ววันนี้ ทั้งบน App Store และ Play Store หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.webull.co.th
สำหรับ Webull บริษัทเทคโนโลยีทางการเงินจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 7 ปี บริษัทแม่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เตรียมเปิดให้บริการแพลตฟอร์มเทรดหุ้นไทยภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งมีทุนจดทะเบียนประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
คาดว่าสัดส่วนรายได้หลักในช่วงเริ่มต้นจะมาจากธุรกิจซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ ราว 70% และหุ้นไทยประมาณ 30% โดยมีแผนสร้างความแข็งแกร่งของฐานลูกค้าในระยะกลาง ก่อนขยายบริการครอบคลุมภูมิภาคเอเชียในลำดับถัดไป
บริษัทยังมีแผนขยายฐานผู้ใช้งานจากกลุ่มนักเทรด (Trader) ไปสู่กลุ่มนักลงทุนระยะยาว (Investor) เพื่อรองรับแนวโน้มการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้นในอนาคต โดยในระยะยาว บริษัทตั้งเป้าเจาะตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มเติม เช่น ฮ่องกงและจีน โดยตลาดเป้าหมายรวมทั้งหมดครอบคลุมกว่า 14 ประเทศ
สำหรับค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ บริษัทเก็บอัตราคอมมิชชั่นเพียง 0.1% โดยไม่มีขั้นต่ำ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์ต่างชาติที่ให้บริการในไทย ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการขอเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขยายบริการไปยังหุ้นไทย โดยจะใช้แอปพลิเคชันเดียวกันในการให้บริการทั้งหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทมีทีมวิศวกรภายในขนาดใหญ่ และพัฒนาเทคโนโลยีทั้งหมดด้วยตนเอง ทำให้สามารถปรับปรุงฟีเจอร์และออกแบบระบบให้ตรงตามความต้องการของนักลงทุนระดับโลก ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานคนไทยยังไม่ถึง 10 ล้านราย แต่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ได้รับการจับตาอย่างใกล้ชิดในปีนี้
สำหรับจำนวนยอดผู้ใช้งานของ Webull นั้น นายชลเดช คาดว่า ปัจจุบัน Webull มีบัญชีอยู่ราว 130,000-150,000 บัญชี โดยในจำนวนนี้เป็นบัญชีที่มีการใช้งานจริง (Active Account) ประมาณ 100,000 บัญชี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ใช้งานอายุระหว่าง 25-45 ปี โดยหลังจากที่มีการขยายบริการด้านการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น บริษัทตั้งเป้าจะมีจำนวนบัญชีที่เปิดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยคิดเป็น 30% ของจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม