
ตลท.เร่งปฏิรูปใหญ่! รับมือพายุตลาดทุน ดันกฎหมายใหม่–ควบรวม SME สู่การเติบโตยั่งยืน
เปิดวิสัยทัศน์ “ประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” กับการเรียกความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ด้วยการเร่งเครื่องปฏิรูปโครงสร้าง-ดันกฎหมายใหม่ รับแรงกดดันรอบด้าน พร้อมหนุนโมเดลควบรวมธุรกิจ SME รวมตัวสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ หวังเปิดทางสู่ตลาดทุน พร้อมลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน
สถานการณ์ตลาดทุนไทยในช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับแรงกดดันอย่างรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนดัชนี SET Index หลุดระดับ 1,200 จุด สะท้อนถึงภาวะความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพการเติบโตของตลาดทุนไทย
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อธิบายว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเปรียบเสมือน “พายุหลายลูก” ที่พัดกระหน่ำตลาดพร้อมกัน ทั้งในรูปของปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก เช่น มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างฮามาส-อิสราเอล รวมถึงความผันผวนในตลาดการเงินระหว่างประเทศ ที่มีความเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์สลับทิศทางอย่างรวดเร็ว เช่น หุ้นขึ้น ทองลง หรือในทางกลับกัน
ขณะเดียวกัน ธุรกิจไทยเองก็ได้รับผลกระทบโดยตรง แม้ว่าตัวเลข GDP ล่าสุดจะมีการฟื้นตัวบางส่วนจากภาคการส่งออก แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้เพียงพอ ส่งผลให้ราคาหุ้นหลายตัวปรับลดลง และกระทบต่อผลตอบแทนของกองทุนรวม
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ ยังระบุว่าที่ผ่านมา ตลท. เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การทำ Short Selling, การซื้อขายความถี่สูง (High Frequency Trading – HFT) และการใช้ระบบอัตโนมัติ (Robot Trading) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อผู้ลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายย่อย ซึ่ง ตลท. ได้เริ่มแก้ไขแล้ว เช่น การจำกัด Short Sell เฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 และเตรียมเปิดระบบ Co-location เพื่อให้รายย่อยเข้าถึงข้อมูลได้เท่าเทียมกับผู้ใช้ Robot Trading คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2 หรือ 3 ของปีนี้
ในด้านนโยบายเชิงรุก ตลท.กำลังเร่งหาทางสร้าง “ดาวเด่นใหม่” ให้กับตลาด โดยมุ่งหวังดึงบริษัทกลุ่ม New Economy เช่น ธุรกิจด้าน Health Tech, AI หรือการแพทย์ มาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ร่วมกับบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการตั้งตลาดใหม่ พร้อมหารือร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งคาดว่าจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับควบคู่กัน
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการเสนอแก้ไขกฎหมายการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) โดยปัจจุบันบริษัทที่ซื้อหุ้นคืนจะต้องขายภายใน 2 ปี และต้องประกาศความประสงค์ล่วงหน้า แม้ไม่มีแผนจะขายจริง รวมถึงต้องรอ 6 เดือนหลังซื้อครบตามสัดส่วนก่อนซื้อรอบใหม่ได้ ซึ่งตามกฎหมายใหม่ที่อยู่ระหว่างการผลักดัน จะยกเว้นเงื่อนไขเหล่านี้ทั้งหมด โดยบริษัทสามารถซื้อคืนได้บ่อยขึ้น ไม่ต้องรอเวลา และสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บไว้หรือลดทุน โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท
นอกจากนี้ ตลท. ยังได้เปิดตัว “โครงการ Jump Plus” เพื่อช่วยให้บริษัทขนาดกลางและเล็กสามารถเข้าสู่เรดาร์ของนักลงทุน ผ่านการนำเสนอ Performance และแผนขยายธุรกิจอย่างชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 3-6 เดือนต่อบริษัท โครงการนี้มุ่งหวังให้บริษัทมี “Story” ที่น่าสนใจและมีคุณค่าเชิงกลยุทธ์สำหรับตลาดทุน
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ ยังระบุอีกว่า ตลท.ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำ “สินทรัพย์ดิจิทัล” เช่น Bitcoin หรือ Token เข้ามาเทรดในตลาด เพื่อให้ผู้ลงทุนไทยมีทางเลือกภายในประเทศ โดยไม่ต้องออกไปลงทุนผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศ โดยมีแนวคิดจัดตั้ง “กระดานคริปโต” พร้อมเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านแพลตฟอร์มให้สอดรับกับแนวโน้มการเงินโลกในอนาคต
สำหรับการแก้ไขโครงสร้างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ เน้นย้ำว่า มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยเสนอแนวคิดการออกกฎหมายแบบ “Omnibus Act” เพื่อรวมการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ได้แก่ พ.ร.บ. บริษัทมหาชน, พ.ร.บ. หลักทรัพย์, กฎของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ ให้เป็นฉบับเดียวเพื่อลดขั้นตอน และเร่งกระบวนการให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกการลงทุน
ขณะเดียวกัน แนวคิด “กิโยติน” ซึ่งหมายถึงการตัดกฎหมายที่ล้าหลังหรือซ้ำซ้อนออกไป ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อช่วยลดภาระของผู้ประกอบการ ลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยอาจมีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น การคืนภาษีให้เร็วขึ้น หรือสนับสนุนบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG อย่างเป็นรูปธรรม
ในประเด็นของการจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดรอง (Secondary Listing) โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทไทยไปจดทะเบียนในตลาดฮ่องกง แม้จะสามารถสร้าง Capital Gain ได้ แต่จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษี Capital Gain เหมือนการซื้อขายผ่านตลาดหุ้นไทย ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจลดแรงจูงใจในการลงทุนผ่านตลาดต่างประเทศ
อีกทั้งหนึ่งในแนวนโยบายสำคัญที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งผลักดันเพื่อยกระดับตลาดทุนไทย คือแนวคิด “การควบรวมธุรกิจ” หรือ Merchant Partnership ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การรวมตัวของธุรกิจขนาดเล็กที่มีศักยภาพในระดับภูมิภาค ให้สามารถเติบโตและเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างยั่งยืน
แนวทางดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ธุรกิจ SME ส่วนใหญ่ไม่สามารถเติบโตเดี่ยวจนถึงระดับเข้าตลาดทุนได้ โดยมีการยกตัวอย่างธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จ เช่น “มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง” ที่กระบี่ และ “ธนพิริยะ” ที่เชียงใหม่ ซึ่งแม้จะมียอดขายสูง แต่ยังมีขนาดเล็กเกินเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับการเข้าตลาดหลักทรัพย์(SET)
การรวมตัวจะช่วยลดต้นทุนผ่านการรวมศูนย์บริการหลังบ้าน เช่น บัญชี ภาษี และคลังสินค้า ให้ผู้ประกอบการโฟกัสด้านตลาดและนวัตกรรม พร้อมเปิดโอกาสในการเข้าตลาดทุนในระยะยาว ทั้งยังส่งเสริมแนวคิด “แบ่งการรวย” สู่เศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม แม้จะมีข้อท้าทายด้านทัศนคติผู้ประกอบการที่ยังยึดการบริหารแบบอิสระ
แนวทางนี้ยังครอบคลุมถึงบริษัทสตาร์ทอัพ ธุรกิจ Spin-off จากมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตลอดจนบริษัทที่อยู่ในพอร์ตของกองทุนภาครัฐและเอกชน เช่น ปตท. และปูนซิเมนต์ไทย โดยอาจรวมเป็นกองทุนร่วมเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ตลาดทุน ถือเป็นกลไกเชิงรุกที่รัฐคาดว่าจะช่วยยกระดับ SME ไทยให้แข่งขันได้ในระดับประเทศและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านตลาดทุนไทยในอนาคต.
แน่นอนว่าช่วงนี้ตลาดทุนไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่เผชิญความท้าทายหลายด้าน และตลาดหลักทรัพย์กำลังพยายามแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะการมองหาโอกาสใหม่ๆ ในกลุ่ม New Economy และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมาย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกฝ่าย
ขณะเดียวกัน นักลงทุนก็ควรปรับตัว ศึกษาข้อมูล และตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ พร้อมแนะนำให้กระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยอาจเลือกลงทุนในหุ้นไทยดีๆ ควบคู่ไปกับการลงทุนในกองทุนหรือหุ้นต่างประเทศ เพื่อช่วยเฉลี่ยผลตอบแทน และเน้นว่าการลงทุนระยะยาว โดยการค่อยๆ เก็บหุ้นที่ดีและได้เงินปันผลที่ดีก็เป็นวิธีที่น่าสนใจ