KSS ชี้สถานการณ์ “ไทย-กัมพูชา” คลี่คลาย แนะสอย 12 หุ้น กระทบจำกัด

บล.กรุงศรี ประเมินความตึงเครียดแนวชายแดนคลี่คลายหลัง 2 ประเทศเดินหน้าเจรจาผ่านกลไก JBC 14 มิ.ย.นี้ ชี้ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยระยะสั้น พร้อมเปิดรายชื่อ 12 หุ้นรายตัวที่ได้รับผลกระทบจำกัด กลุ่มเครื่องดื่ม CBG-OSP โรงพยาบาล BDMS-BH-BCH-CHG โรงหนัง MAJOR และส่งออกเนื้อสัตว์ CPF-TFG-GFPT


ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรณี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง ไทยกัมพูชา ได้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแล้ว โดยการปฏิบัติงานของทั้งระดับนโยบาย โดยรัฐบาลฝ่ายความมั่นคง กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ

“ดิฉันได้หารือกับรัฐบาลกัมพูชา มีข้อสรุปที่ส่งผลดีต่อสถานการณ์ โดยทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร ณ จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้า และจะพัฒนาความร่วมมือโดยใช้กลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และจะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้ระบุถึงประเด็นดังกล่าวว่า ความตึงเครียดเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน พฤษภาคม – มิถุนายน 2568 แม้สถานการณ์จะลดความตึงเครียดลงบ้างหลังไทยตอบโต้กัมพูชาผ่านมาตรการจำกัดการเปิด-ปิดด่านชายแดน ขณะที่ ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณบวก (Positive) คือ โฆษกทบ. เผย กัมพูชาถอยทัพและ 14 มิถุนายน 2568 พร้อมจะมีการเข้าเจรจาขั้นตอน คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นความร่วมมือแบบทวิภาคีมีระดับรัฐมนตรีช่วยของแต่ละฝ่ายเป็นประธานร่วมกัน ประชุมกันปีละครั้งเพื่อรับผิดชอบการสํารวจและจัดทำหลักเขตแดน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นประเด็นค่อนข้างอ่อนไหวและยังอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีที่หากสถานการณ์กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง อาทิ มีภาพกำลังทหารปะทะกันอาจจะสร้างจิตวิทยาทางลบต่อตลาดได้จึงเป็นที่มาในการประเมิน โดยฝ่ายนักวิเคราะห์ทำการศึกษา “สถิติการ เคลื่อนไหวของ SET Index ในอดีตช่วงที่มีเหตุการณ์การยิงปะทะไทย–กัมพูชา” พบว่า เคยมีการปะทะกันทั้งสิ้น 5 ครั้ง ทำให้ผลตอบแทน SET Index หลังจากเกิดเหตุเฉลี่ย 1 เดือน -2.8% หลังจากเกิดเหตุเฉลี่ย 3 เดือน +6.3% หลังจากเกิดเหตุเฉลี่ย 6 เดือน +11.3% สะท้อนผลกระทบต่อตลาดส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในระยะสั้นและ SET Index ปัจจุบันน่าจะสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวไประดับหนึ่งแล้ว ซึ่งอิงผลตอบแทนตั้งแต่ 15 พฤษภาคม – ปัจจุบันที่ปรับลดลง -4.8%

ส่วนผลกระทบต่อหุ้นราย ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ยอดขายในกัมพูชาราว 10% ,บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP อยู่ที่ 7% (หากกรณีปิดด่านชายแดนไทย – กัมพูชา CBG จะเปลี่ยนเป็นการส่งสินค้าทางเรือ)

ขณะที่ กลุ่มโรงพยาบาล ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่ากลุ่มรพ. ที่ศึกษาและมีรายได้ลูกค้ากัมพูชาจะมีผลกระทบน้อยจากความรุนแรงระหว่างไทย-กัมพูชาและไทยมีมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องจากกลุ่มผู้ป่วยได้รับการผ่อนผัน ทำให้มองว่าการใช้บริการของรพ. ที่มีลูกค้ากัมพูชาบาง ส่วนข้ามจุดผ่านแดนเข้ามาจะกระทบไม่มากเหมือนกับการปิดด่านช่วง COVID

อีกทั้ง รพ. ที่ศึกษามีสัดส่วนรายได้ลูกค้ากัมพูชาน้อยกว่า 5% และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติที่บินเข้ามารักษาพยาบาลโดยตรงในประเทศไทย  ซึ่ง รพ. ที่ศึกษามีสัดส่วนรายได้จากลูกค้ากัมพูชาเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS อยู่ที่ 3.7% (รวม รพ. ในกัมพูชา 2 แห่ง มีสัดส่วนรายได้ราว 1%), บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH อยู่ที่ 3%, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH อยู่ที่ 1.7% และ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG อยู่ที่ 1% ของรายได้รักษาพยาบาล

กลุ่มโรงหนัง บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR สัดส่วนรายได้ราว 3.8% มีโรงภาพยนตร์ในกัมพูชาราว 6 แห่ง

กลุ่มส่งออกเนื้อสัตว์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG, บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT กระทบจํากัดไม่มีนัยยะประเมินการค้าชายแดน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กโดยบริษัทจดทะเบียนในไทยมีสัดส่วยรายได้ในกัมพูชาน้อยมากๆ หรือไม่มีนัยยะ

Back to top button