
“ชัยยศ” ชูธีม “China Play” ล็อกเป้าดาวเด่น PTTGC-ADVANC
"ชัยยศ จิวางกูร" มอง SET รีบาวด์รับสัญญาณบวกเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน พร้อมชี้เม็ดเงินต่างชาติเริ่มกลับเข้า แนะลงทุนหุ้นธีม China Play ชู PTTGC รับอานิสงส์เศรษฐกิจโลกฟื้น และ ADVANC พื้นฐานหุ้นแกร่ง ไร้กระทบเทรดวอร์
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (11 มิ.ย.68) ว่าแนวโน้ม SET Index ยังคงได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยทั้งในและต่างประเทศหากมองจาก ระดับโลก (Global) สิ่งที่น่าจับตามองคือการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งในช่วง 2 วันที่ผ่านมา บรรยากาศของการพูดคุยมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นสัญญาณบวกต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคต่างตอบรับในเชิงบวกเช่นกัน ส่วน ประเทศไทย ล่าสุดมีความชัดเจนแล้วว่าสหรัฐฯตอบรับการเจรจาแล้ว เหลือเพียงการกำหนดวันเพื่อเข้าพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งในจุดนี้ถือเป็นสัญญาณบวก
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในประเทศ โดยเฉพาะในเรื่อง การเมือง ยังคงมีความไม่ชัดเจนอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมของกระแสเงินลงทุน (Fund Flow) ที่จะไหลเข้ามาในตลาดยังอยู่ในลักษณะรอดูท่าทีและต้องบอกตามตรงว่า การเมืองเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก ดังนั้นในมุมของฝ่ายนักวิเคราะห์คงต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้ 10 มิ.ย. ฝ่ายนักวิเคราะห์เห็นเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยเป็น “Net Buy” มูลค่ากว่า 1,432.71 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เริ่มกลับมาในระดับหนึ่ง
โดยรวมแล้วภาพรวมตลาด ณ ขณะนี้มองว่าอยู่ในภาวะ “รีบาวด์” จากความคลี่คลายของประเด็น สงครามการค้า เป็นหลัก ส่วนในเรื่องการเมืองภายในประเทศควรเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนประเด็นวอลุ่มการซื้อขายในตลาดช่วงนี้เบาบางนั้นต้องเรียนตามตรงว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากการสะสมของหลายประเด็นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ตัวเลขเศรษฐกิจในตอนนั้นยังเติบโตในระดับประมาณ 3% แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นขณะนั้น คือ หุ้นลงอย่างต่อเนื่อง
อีกประเด็นสำคัญ คือ แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Flow) ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าแทบไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่นักลงทุนต่างชาติเป็น “ผู้ซื้อสุทธิ” กลับกัน ส่วนใหญ่จะเป็นฝั่งขายออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะทั้ง 2 ปัจจัยที่กล่าวมา ล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดในภาพรวม เมื่อรวมกับปัจจัยลบในช่วงนี้ทั้งในเรื่องของสถานการณ์การเมือง และตัวเลข GDP ของประเทศไทย ซึ่งเติบโตต่ำที่สุดในอาเซียนยิ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาว่าทำไมปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในระดับที่เบาบางในช่วงนี้
ในส่วนของการซื้อขายแบบ High Frequency Trading (HFT) ต้องเรียนตามตรงว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกก็มีการใช้กันอย่างแพร่หลายและในความเป็นจริงหากเราลองย้อนดูปริมาณคำสั่งซื้อขายจากนักลงทุนต่างชาติในปัจจุบันจะพบว่าหลายคำสั่งมาจากระบบอัตโนมัติแทบทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจากมนุษย์ส่งคำสั่งซื้อ-ขายด้วยตัวเองเหมือนในอดีต ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำควรเป็นการปรับตัวกับเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ในด้าน กลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำลงทุนหุ้นธีม China Play จากสถานการณ์สงครามการค้าคลี่คลาย โดยมองว่าหุ้น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ซึ่งเป็นบริษัทที่มีธุรกิจหลักอยู่ในกลุ่มปิโตรเคมี การดำเนินงานของบริษัทเชื่อมโยงโดยตรงกับ ภาวะเศรษฐกิจโลก และราคา spread ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายเชิงพื้นฐานอยู่ที่ 28 บาท
รวมไปถึง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC แม้จะไม่ได้เป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเศรษฐกิจโลกหรือ Global Play โดยตรง แต่ก็ถือว่าได้รับผลกระทบจากประเด็นสงครามการค้าค่อนข้างน้อย
ส่วนของธุรกิจร่วมกับ Apple ที่ ADVANC เป็นตัวแทนจำหน่ายนั้นพบว่ามียอดเติบโตต่อเนื่องถึง 4–5 ไตรมาสติดต่อกัน ขณะที่การควบคุมต้นทุนและการบริหารจัดการรายได้ก็ทำได้ดี โดยมีการเติบโตเฉลี่ยราว 10% จากปัจจัยทั้งหมดนี้ จึงถือเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่ง ฝ่ายวิเคราะห์จึงแนะนำให้ “ซื้อสะสม” โดยให้ราคาเป้าหมายทางพื้นฐานไว้ที่ 340 บาท
ส่วนประเด็นมาตรการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” หุ้นที่จะได้ประโยชน์ต้องเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนโรงแรมในประเทศสูง อาทิ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC และ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ซึ่งมีประมาณ 80% ส่วนหุ้นกลุ่มอื่นๆ ก็จะได้รับผลบวกบ้างในระดับหนึ่ง อาทิ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL นับเป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน โดยมีสัดส่วนโรงแรมในประเทศประมาณ 50%