“เนสท์เล่” ชนะยกแรก! ศาลแพ่งโอนคดีพิพาท “ตระกูลมหากิจศิริ” ให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาดูแล

“เนสท์เล่” ชนะยกแรก ศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งโอนคดีพิพาท “ตระกูลมหากิจศิริ” ไปยังศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาต่อ โบรกจับตาหุ้น TACC, CBG และ SAPPE มีโอกาสรับอานิสงส์ หากศาลมีคำสั่งคุ้มครองเพิ่มเติม กระทบ Nescafé ขาดตลาดจากปัญหาเรื่องสิทธิการผลิต


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (20 มิ.ย.68) บริษัทเนสท์เล่ ได้ยื่นคำร้องต่อประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เพื่อให้พิจารณาว่า คดีข้อพิพาทระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ ควรอยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลใด

โดยประเด็นหลักของคำร้อง คือ การขอให้วินิจฉัยว่า คดีนี้ควรพิจารณาในศาลแพ่งมีนบุรีหรือศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เนื่องจากคดีดังกล่าว มีลักษณะเกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางการค้าและสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา

โดยวันนี้ 20 มิ.ย. ศาลแพ่งมีนบุรี คดีหมายเลขดำที่ พ 571/2568 อ่านคำวินิจฉัย ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ซึ่งคำวินิจฉัยให้โอนคดีนี้ ไป ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

ขณะที่ เนสท์เล่ ยังคงดำเนินธุรกิจเนสกาแฟตามปกติ ซึ่งรวมทั้งการผลิต จ้างผลิต นำเข้า และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติและคุณภาพสูงเช่นเดิม

อีกทั้ง ยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินการผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย และยังคงรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบจากเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่องเหมือนเช่นเคย เนสท์เล่จะยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยเพื่อสร้างประโยชน์แก่ลูกค้า ผู้บริโภค พนักงานของเรา เกษตรกร ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจของเราต่อไป

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึงประเด็นความขัดแย้งระหว่าง บริษัทควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ (QCP) ที่เป็นผู้ผลิตหลักของ “เนสท์เล่” และ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด สืบเนื่องจากประเด็นเรื่องความขัดแย้งตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 68 ศาลมีนบุรี มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ บริษัท เนสท์เล่ (ประเทศไทย) หยุดการผลิต จ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าแบรนด์กาแฟ Nescafé” ภายในประเทศไทย เนื่องจากมีข้อพิพาทเรื่องการยกเลิกสัญญาร่วมทุน ถัดมาในวันที่ 12 เม.ย. 68 ทาง “Nestlé” ระบุว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้ “Nestlé” เป็นผู้ถือสิทธิ์เครื่องหมายการค้า “Nescafé”แต่เพียงผู้เดียวในไทย ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สามารถกลับมาผลิตได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม QCP ได้มีการอุทรธ์ต่อศาลมีนบุรีเพิ่มเติมโดยศาลมีนบุรีได้นัดอ่านคำวินิจฉัยจากประธานศาลอุทธรณ์ฯ ในวันที่ 20 มิ.ย.68 เวลา 09:00 น. เพื่อชี้ขาดว่าจะมีการคุ้มครองเพิ่มเติมหรือยกเลิกคำสั่งเดิมหรือไม่โดยมองเป็น 2 กรณี ได้แก่

1.) ศาลมีคำสั่งคุ้มครองเพิ่มเติมอาจะทำให้ บริษัท เนสท์เล่ (ประเทศไทย) กลับมาไม่สามารถผลิต “Nescafé” ซึ่งปัจจุบันสินค้าส่วนใหญ่ในตลาด มาจากการเร่งผลิตในช่วงปลายปี 67-ต้นปี 68 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินว่ามีโอกาสที่ “Nescafé” จะขาดตลาดในระยะถัดไป ซึ่งจะเป็น “บวก” ต่อหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากสินค้ากลุ่มกาแฟอย่าง บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG, บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE และเป็น “ลบ” กับ บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าให้แบรนด์ Nescafé”

2.) ศาลมีคำสั่งยกเลิกคุ้มครองสินค้าฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าจะเป็น “กลาง” และไม่มีหุ้นใดได้ประโยชน์ เนื่องจาก “Nescafé” ได้มีการจ้างผู้ประกอบการในไทย อาทิ MALEE และอื่นๆ  รวมถึงการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเอาไว้แล้ว และยังไม่มีแผนสำหรับการขยายออเดอร์เพิ่มเติม หมายเหตุทาง QCP ได้หยุดผลิตสินค้าแบรนด์ “Nescafé” ไปแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 67 ที่ผ่านมา

Back to top button