
“กลุ่มปตท.” ปรับโครงสร้าง เน้นความแข็งแกร่งทางการเงิน โบรกแนะซื้อ PTTGC-GPSC
บล.ทิสโก้ ชี้ “กลุ่มปตท.” ปรับโครงสร้าง เน้นความแข็งแกร่งทางการเงิน ชี้ PTTGC – GPSC ขึ้นแท่นเด่นสุดในกลุ่ม พร้อมให้คำแนะนำ “ซื้อ” PTTGC ราคาเป้าหมาย 22.00 และ GPSC ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท ชี้ขึ้นแท่นเด่นสุดในกลุ่ม
บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ท่ามกลางความท้าทายที่ยังคงดำเนินต่อไปในภาคส่วนปิโตรเคมีขั้น downstream และการกลั่น (P&R) บริษัทต่าง ๆ ภายใน “กลุ่ม ปตท.” กำลังดำเนินมาตรการเพื่อเสริมสร้างสถานะทางการเงินและเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต
โดยผู้บริหารได้ส่งสัญญาณแผนการสร้างสภาพคล่องจากสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลัก ปรับโครงสร้างพอร์ตการลงทุน และปรับปรุงงบดุลของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ได้คาดการณ์กำไรทางบัญชีอย่างน้อย 8.0 พันล้านบาท จากความพยายามของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC คาดว่าจะสร้างเงินสดประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ผ่านการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลัก หากประสบผลสำเร็จ ความคิดริเริ่มนี้อาจลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ประเมินไว้สำหรับปี 2568 เป็น 0.6 เท่า จาก 0.7 เท่า และลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ปี 2568 เป็น 4.8 เท่า จาก 5.7 เท่า
แม้ว่า บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP จะยังไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจน แต่ตั้งเป้าระดมทุนประมาณ 3.2-4.9 หมื่นล้านบาท ผ่านตราสารที่ไม่ใช่ตราสารหนี้ รวมถึงการสร้างสภาพคล่องจากสินทรัพย์ เพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP)
ขณะที่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ยังไม่ได้ออกแนวทางเชิงตัวเลข แต่ได้ค่อย ๆ ขายหรือปิดสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลัก ในรายงานนี้ เราสำรวจมาตรการที่อาจเป็นไปได้ที่บริษัทในกลุ่ม ปตท. สามารถนำมาใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์เหล่านี้
ทั้งนี้ สำรวจการรวมสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานกลุ่ม PTT กำลังประเมินศักยภาพในการรวมสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนที่ไม่ใช่พลังงาน เช่น ท่าเรือ ถังเก็บ และท่อส่ง จากบริษัทในเครือด้านปิโตรเคมีขั้น downstream และการกลั่น เข้าสู่บริษัทย่อยที่ถือหุ้น 100% ของบริษัทแม่ ซึ่งอาจเป็น PTT Tank Terminal โครงสร้างที่เสนอจะเกี่ยวข้องกับการจัดการแบบขายและเช่าคืน
สำหรับบริษัทในเครือจะโอนความเป็นเจ้าของสินทรัพย์เหล่านี้ให้กับหน่วยงานที่ถือหุ้น 100% แล้วเช่าคืนเพื่อใช้งานต่อไป ซึ่งช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากต้นทุนการระดมทุนที่ต่ำกว่าของบริษัทแม่อย่าง PTT ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเนื่องจากสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนที่ไม่ใช่หลักเหล่านี้โดยทั่วไปถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ
ทั้งยังจะช่วยให้บริษัทในเครือด้าน P&R แบบ downstream สามารถสร้างสภาพคล่องจากสินทรัพย์เหล่านี้ ลดอัตราส่วนการใช้หนี้ และลดความเสี่ยงจากการปรับลดอันดับเครดิตเพิ่มเติม เราคาดว่าความพยายามนี้จะเป็นจริงภายในสิ้นปี
ขณะที่ศักยภาพของ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC น่าจะกำลังสำรวจการซื้อสินทรัพย์พลังงานจากบริษัทในเครือด้าน P&R ภายในกลุ่ม ปตท. การทำธุรกรรมดังกล่าวจะต้องสร้างสมดุลอย่างระมัดระวังกับผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ดังนั้น คาดว่า GPSC จะเลือกซื้อเฉพาะสินทรัพย์ที่นำเสนอการสร้างประสิทธิภาพร่วมในการดำเนินงานที่ชัดเจนกับพอร์ตการลงทุนที่มีอยู่ ภายในกลุ่ม ปตท. มีสินทรัพย์พลังงานหลายแห่งที่อาจได้รับการพิจารณา
โดยโรงงานสองแห่งภายใต้ PTTGC ที่มีกำลังการผลิตรวม 456 เมกะวัตต์ (357 เมกะวัตต์ และ 99 เมกะวัตต์) โรงงานแห่งแรกภายใต้ TOP ขนาด 354 เมกะวัตต์ และโรงงานแห่งที่สองภายใต้ IRPC ขนาด 307 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ส่วนแบ่งที่เหลือ 49% ใน IRPC Clean Power (IRPC-CP) ที่ IRPC ถืออยู่ในปัจจุบัน สินทรัพย์พลังงานภายใต้ PTTGC เหมาะสมที่สุดสำหรับ GPSC น่าจะสนับสนุนการสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานผ่านการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานและการใช้ทรัพยากรร่วมกัน
โดย PTT กำลังพิจารณาในการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลักทั้งหมด โดยมี PT Chandra Asri Pacific หรือ CAP ที่ผ่านการลงทุนของบริษัทในเครือ TOP โดย CAP ได้สร้างผลขาดทุนให้กับ TOP จำนวน 15% ทั้งนี้ ความเป็นไปได้ของการขายได้เพิ่มขึ้นหลังจากการประกาศล่าสุดของปูนซิเมนต์ไทยถึงความตั้งใจที่จะลดการถือหุ้นใน CAP จาก 30.6% เป็น 20.0% ภายในสิ้นปี 2567 มูลค่าตามบัญชีของ CAP ในงบดุลของ TOP อยู่ที่ 2.96 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์สุดท้ายยังคงต้องจับตารอดู กลุ่ม ปตท. จะนำความคิดริเริ่มเหล่านี้มาใช้เพื่อแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นในการเสริมสร้างสถานะทางการเงินและหยุดการลงทุนเพิ่มเติม
โดยทางฝ่ายนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ให้คำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับหุ้น PTTGC มูลค่าที่เหมาะสม 22.00 บาท และ GPSC มูลค่าที่เหมาะสม 36.00 บาท ขณะที่ให้คำแนะนำ “ถือ” หุ้น PTT โดยมูลค่าที่เหมาะสม 34.00 บาท และคำแนะนำ “ขาย” หุ้น TOP มูลค่าที่เหมาะสม 20.00 บาท และ IRPC มูลค่าที่เหมาะสม 0.79 บาท ซึ่งมีความเสี่ยงรวมถึงความผันผวนในตลาดน้ำมันดิบ ความผันผวนในราคาผลิตภัณฑ์การกลั่นและปิโตรเคมี และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำกว่าคาด จากการหยุดชะงักที่ไม่คาดคิดของเครื่องจักร