
“ดาโอ” เตือนกลุ่มส่งออก “อาหารสัตว์เลี้ยง” เสี่ยงหนัก ภาษีสหรัฐ 36% ฉุดกำไรปี 69
“บล.ดาโอ” ประเมินหุ้นส่งออกไทยเผชิญแรงกดดันภาษีสหรัฐ 36% เริ่มมีผล 1 ส.ค.นี้ โดยกลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอย่าง AAI, ITC เสี่ยงสุดฉุดกำไรปี 69 ร่วงแรง 15–20% ส่วน TU, COCOCO, PLUS เสี่ยงรอง ขณะที่ SAPPE-EPG กระทบจำกัด
ภายหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าสหรัฐฯจาก 14 ประเทศที่เกินดุลการค้า โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นั้น ขณะที่ประเทศไทยถูจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ซึ่งสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ,มาเลเซีย ทำให้เกิดความกังวลในตลาดทุนไทยเกี่ยวกับผลกระทบต่อกลุ่มหุ้นส่งออก
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) หรือ DAOL ประเมินว่า ผลกระทบในครั้งนี้อาจกดดัน กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มส่งออก ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะบริษัทที่มีรายได้จากสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง และมีความอ่อนไหวต่อโครงสร้างต้นทุนและราคาแข่งขันในตลาด
โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันจันทร์ (7 ก.ค.) ว่า ประเทศต่าง ๆ อย่างน้อย 14 ประเทศจะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. โดยจะมีบางประเทศถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น สำหรับประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับที่ ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.
นอกจากนี้ในจดหมายระบุว่าสินค้าจากญี่ปุ่นเกาหลีใต้ มาเลเซีย คาซัคสถาน และตูนิเซีย ที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25%, แอฟริกาใต้และบอสเนียจะถูกเก็บภาษีนำเข้า 30%,อินโดนีเซียจะถูกเรียกเก็บภาษี 32%, บังกลาเทศและเซอร์เบียจะถูกเก็บภาษี 35%, กัมพูชาจะถูกเรียกเก็บภาษี 36%, และลาวและเมียนมาจะถูกเก็บภาษี40% อย่างไรก็ตามเนื้อหาในจดหมายมีระบุเพิ่มเติมว่าสหรัฐอาจจะพิจารณาปรับระดับภาษีใหม่ โดยขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์แต่ละประเทศ
ทั้งนี้ DAOL มีมุมมองเป็นลบต่อกลุ่มส่งออก โดยสะท้อนว่าผลการเจรจาก่อนหน้านี้อาจยังไม่เป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามมองว่าการเลื่อนวัน effective เป็นวันที่ 1 ส.ค.68 ยังเปิด room ในการเจรจาอยู่ขณะที่ล่าสุดรัฐบาลไทยมีการส่งข้อเสนอที่แก้ไขกลับไปใหม่ในวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ยังต้องติดตามความคืบหน้าผลการเจรจาและข้อเสนอหลังจากนี้
ทั้งนี้ยังมองว่ากลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) ยังมีความเสี่ยงมากสุด เนื่องจากมีรายได้สหรัฐสูงถึง 50-60%
-กลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง (Neutral): ประเมิน sensitivity กรณีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐอยู่ที่ 36% และยอดขายจากสหรัฐลดลง -36% ใกล้เคียงกับตัวเลขอัตราภาษีที่คาดว่าจะถูกเรียกเก็บ ประเมินจะกระทบกำไรปกติปี 2569 ของบริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ลดลง 20% และบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ลดลง 15% นอกจากนี้แม้ว่าระยะสั้นการ switch ไปสั่งซื้อประเทศอื่นยังทำได้ไม่เร็ว แต่มองว่ายังต้องติดตามความเสี่ยงดังกล่าวในระยะถัดไป โดยเฉพาะเวียดนาม ที่ปัจจุบันมีอัตราภาษีต่ำกว่าไทยที่ 20% (สหรัฐมีสัดส่วนการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากไทยและเวียดนามที่ 34% และ 4% ตามลำดับ)
-บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แนะนำถือราคาเป้า 10.50 บาท มีสัดส่วนรายได้ส่งออกไปสหรัฐ 40% ขณะที่หากอิงอัตราภาษีนำเข้าก่อนการประกาศมาตรการในเดือน เม.ย.2568 เดิมสหรัฐมีการเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋องจากไทยราว 9-10% ประเมิน sensitivity กรณีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐอยู่ที่ 36% จะกระทบกำไร TU ปี 2569 ราว -10%
-กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว:บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS แนะถือราคาเป้า 3.50 บาท มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐ 44% ประเมินยอดขายสหรัฐที่ลดลง 36% จะกระทบกำไรปกติของบริษัท 6-10% ขณะที่บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO แนะนำซื้อราคาเป้า 11.50 บาท มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐ 24% ประเมินยอดขายสหรัฐที่ลดลง 36% จะกระทบกำไรปกติของบริษัท 4% อย่างไรก็ตามมองว่าความต้องการผลิตภัณฑ์มะพร้าวไทยในตลาดโลกที่สูง และบริษัทมีปรับขึ้นราคาไปแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้มองผลกระทบจำกัดต่อคำสั่งซื้อของลูกค้าที่ลดลง
–นิคมอุตสาหกรรม (บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรื AMATA) จากอัตราภาษีของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐสูงกว่าคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนาม 20% มาเลเซีย 25% จะมีนัยยะต่อต้นทุนการผลิตในไทยและส่งออกไปสหรัฐสูงกว่าคู่แข่ง ซึ่งจะทำให้มีผลต่อการเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทยลดลงกระทบกลุ่มนิคมฯ
-บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER แนะนำถือราคาเป้า 5.00 บาท แม้ปัจจุบันไม่มีสัดส่วนรายได้ส่งออกไปสหรัฐโดยตรง แต่มองว่าบริษัทมีโอกาสได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการที่ลูกค้าของบริษัทมีการส่งออกล้อยางไปสหรัฐ เบื้องต้นประเมินสำหรับยอดขายรวมของ NER ที่ลดลงทุกๆ 5% จะกระทบกำไรปี 2569 ราว 6%
-บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE แนะนำถือราคาเป้าหมาย 33.50 บาท มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐที่ 5%มองว่ากระทบจำกัด โดยหากปี 2569 ไม่มีรายได้จากสหรัฐจะกระทบกำไรลดลง 5%
-บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG แนะนำซื้อราคาเป้า 3.40 บาท แนวโน้มกระทบไม่มาก โดยโรงงาน Aeroflex ที่สหรัฐมีการนำเข้าวัตถุดิบจากไทย จะกระทบต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น แต่บริษัทมีแผนปรับราคาขายขึ้นจากเดิม 5-10% ชดเชยต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบจากไทยตาม tariff ที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจุบันคู่แข่งมีการขึ้นราคาไปแล้ว