JP Morgan เพิ่มน้ำหนักลงทุน GULF ชี้ “พลังงานสะอาด–ดิจิทัล” หนุนกำไรโตยั่งยืน

JP Morgan แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุน GULF มองอนาคตโตแรงจากพลังงานหมุนเวียน รวมถึงดิจิทัลอินฟรา LNG Terminal และการขยายตลาดต่างประเทศ หนุนกำไรระยะยาวเติบโตต่อเนื่อง


บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน ระบุคำแนะนำ “Overweight” หุ้นบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาเป้าหมาย 64 บาท โดยอ้างอิงข้อมูลจากการประชุม ASEAN Energy & Utilities Forum ซึ่งจัดร่วมกับ นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท และฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ พร้อมชี้ให้เห็นทิศทางการเติบโตของ GULF ผ่าน 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน, โครงการพลังงานในสหรัฐฯ, ดิจิทัลอินฟราสตรัคเจอร์ และโครงสร้างพื้นฐานด้าน LNG

ฝ่ายบริหารของ GULF ระบุว่า พลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยจะเป็นหน่วยธุรกิจเติบโตหลักถัดไป แม้ว่าพอร์ตก๊าซ IPP ในประเทศยังให้ผลตอบแทนระดับสูง (IRR ประมาณ 25%) แต่บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 40% ภายในปี 2578 จาก 13% ในกลางปี 2568 โดยวางแผนลงทุน 80% ของงบลงทุนรวม 90,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2568–2569 เพื่อขยายโครงการใหม่ และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Gunkul Solar พร้อมตั้งเป้า IRR โครงการไว้ที่ 15–17%

ด้านโรงไฟฟ้า Jackson ขนาด 1,200 เมกะวัตต์ในสหรัฐฯ ซึ่ง GULF ถือหุ้น 49% คาดว่าจะเริ่มสร้างผลกำไรตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2568 หลังจากการเริ่มต้นจ่ายค่าความสามารถในการผลิต (Capacity Payment) ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการใช้พลังงานสูงขึ้นจากการเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน และการขยายตัวของ Data Center

ขณะที่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล GULF เตรียมเปิด Data Center ขนาด 25 เมกะวัตต์ เฟสแรกในไตรมาส 2/2568 และจะขยายอีก 25 เมกะวัตต์ต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจโทรคมนาคมผ่าน ADVANC ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตจากกลุ่มลูกค้าองค์กร, บรอดแบนด์ และบริการใหม่ ๆ ควบคู่กับการสนับสนุน THCOM พัฒนาโครงการดาวเทียมรุ่นใหม่อีก 2–3 ดวง เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมดาวเทียมในไทย

นอกจากนี้ GULF ยังเดินหน้าโครงการ Terminal LNG แห่งที่ 3 ของประเทศ มูลค่าลงทุนประมาณ 60,000 ล้านบาท ที่นิคมมาบตาพุด โดยถือหุ้น 70% คาดเริ่มก่อสร้างไตรมาส 4/2568 และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/2572 พร้อมตั้งเป้านำเข้า LNG ราว 70 คาร์โก หรือราว 5 ล้านตันต่อปี สร้างกำไรประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี

สำหรับประเด็นเพิ่มเติมที่น่าจับตา ได้แก่

(1) สัดส่วนถือหุ้นในธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK จะอยู่ต่ำกว่า 5% ตามข้อจำกัดด้านกฎเกณฑ์

(2) บริษัทอาจพิจารณาซื้อหุ้นคืน หาก Singtel ขายหุ้น INTUCH ที่ถืออยู่ราว 9%

(3) มีศักยภาพลงทุนเพิ่มเติมอีกราว 200,000 ล้านบาท หลังการควบรวมกับ INTUCH

(4) ตัวชี้วัด KPI ฝ่ายบริหารมุ่งเน้นการเติบโตด้านกำไรและกำลังการผลิต, กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน และ ROE

Back to top button