เปิดโผ 29 หุ้น กระทบชายแดน “ไทย-กัมพูชา” ระอุ เสี่ยงรายได้วูบ!

บล.กรุงศรี-ฟินันเซีย ไซรัส จับตาความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมเปิดรายชื่อ 29 หุ้น เสี่ยงได้รับผลกระทบการค้าชายแดนสะดุด นำโด่ง SAV, CBG, AEONTS ชี้รับผลกระทบมากสุด


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ 24 ก.ค.68 กองทัพบก เปิดเผยว่าเมื่อเวลา 07:35 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือน รายงานได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม แม้ไม่สามารถตรวจพบตัวอากาศยานได้ด้วยสายตา แต่สามารถได้ยินเสียงอย่างชัดเจน

ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนามและพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือรวมทั้ง RPG เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย

ขณะที่เมื่อเวลาประมาณ 08:20 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ออกคำสั่ง ลงนามโดย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่อง การปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา และสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่รับผิดชอบ

จากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่าปัจจุบันการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา มีมูลค่ารวม 1.75 แสนล้านบาท ซึ่งการค้าชายแดนคิดเป็นสัดส่วนสูงเกือบครึ่งหนึ่งของการค้าระหว่างประเทศ โดยสินค้าหลักที่ไทยส่งออกจากชายแดนนำโดย เครื่องดื่ม คิดเป็น 83% ของยอดส่งออกทั้งหมด ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์, เครื่องยนต์สันดาปและสินค้าเกษตร ในขณะที่สินค้าหลักที่นำเข้าสู่ชายแดนไทยนำโดย ผัก, มันสำปะหลัง, เศษโลหะ, ลวดสายไฟ โดย 3 ด่านที่สำคัญต่อการค้าชายแดนนำโดย 1.) ด่านศุลกากรอรัญประเทศ จ.สระแก้ว 2.) ด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด และ 3.) ด่านศุลกากรจันทบุรี จ.จันทบุรี รวมคิดเป็นส่วนส่วนสูงกว่า 95% ของด่านทั้งหมด

ทั้งนี้ หากมีการปิดด่านจริงเบื้องต้น ม.หอการค้าไทย ได้มีการประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยประมาณ 1.0 หมื่นล้านบาท/เดือน ซึ่งหากอิงจากตัวเลขดังกล่าวบนสมมติฐานปิดด่านชายแดนทุกๆ 1 เดือนพบว่าผลกระทบคิดเป็น Downside ประมาณ 0.02% จากประมาณการ GDP ของเราที่ 1.4%

สำหรับผลกระทบต่อ SET Index หากอิงจากบริษัทที่อยู่ภายใต้ Coverage ของฝ่ายนักวิเคราะห์ พบว่า มีจำนวนบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากประเทศกัมพูชา 30 บริษัท คิดเป็นรายได้รวม 8.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 0.6% ของรายได้ทั้งหมด นำโดยกลุ่มค้าปลีก, อาหาร, พลังงานและโรงพยาบาล

เบื้องต้นฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ผลกระทบส่วนใหญ่จะตกอยู่กับกลุ่มเครื่องดื่มและอาหารจากการส่งผ่านสินค้าผ่านชายแดน ในขณะที่กลุ่มพลังงาน,ปิโตรเคมี และโรงพยาบาลคาดมีผลกระทบที่จำกัด อย่างไรก็ตามในกรณีเลวร้าย (บนสมมติฐานปิดด่านทั้งหมดและกระทบรายได้และกำไรของทุกบริษัท) พบว่าทุกๆ 1 เดือนของการปิดด่าน จะส่งผลต่อ Downside ของประมาณการกำไรปีนี้ของฝ่ายนักวิเคราะห์ไม่ถึง 0.1% ซึ่งถือว่าผลกระทบค่อนข้างจำกัด ซึ่งกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้จากประเทศกัมพูชานำโดยกลุ่มค้าปลีก อาทิ BJC, CPALL, CPAXT และ GLOBAL เฉลี่ยต่ำกว่า 1%

รวมไปถึงกลุ่มอาหาร อาทิ CPF, BTG, OSP, SAPPE และ SNNP อยู่ในกรอบประมาณ 1-6% ส่วนกลุ่มโรงพยาบาล อาทิ BCH, BDMS, BH และ PR9 ประมาณ 1-4% และสำหรับหุ้นรายตัวที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาสูงกว่า 5% นำโดย MAJOR, AEONTS และ SAV

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุถึงสถานการณ์ตึงเครียดไทย-กัมพูชาล่าสุดมีข่าวว่าเริ่มมีการปะทะกันที่ปราสาทตาเมือนธม ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจเป็น Sentiment ลบอ่อนๆ ต่อ SET Index และหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาบ้าง

โดยฝ่ายนักวิเคราะห์ได้รวบรวมหุ้นที่มีธุรกิจในกัมพูชา ซึ่งหุ้นที่มีธุรกิจในกัมพูชาหรือมีการขายสินค้าและให้บริการกัมพูชาเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ SAV คิดเป็นสัดส่วน 100%, CBG คิดเป็นสัดส่วน 13%, AEONTS คิดเป็นสัดส่วน 8%, BH คิดเป็นสัดส่วน 5%,

ถัดมา CPF และ BTG คิดเป็นสัดส่วน 3-4%, BDMS และ SCC คิดเป็นสัดส่วน 3%, NEO และ ICHI คิดเป็นสัดส่วน 2-3%, OR คิดเป็นสัดส่วน 2-3%, GLOBAL คิดเป็นสัดส่วน 2%

ขณะที่ บริษัทธุรกิจในกัมพูชาสัดส่วนราว 1% อาทิ BCH คิดเป็นสัดส่วน 1.7%, SCGD คิดเป็นสัดส่วน 1.5%, HANA คิดเป็นสัดส่วน 1.4% และกลุ่มที่น้อยกว่า 1% คือ CPALL, CPAXT, BJC คิดเป็นสัดส่วน ต่ำกว่า 1%, MINT, CENTEL, ERW คิดเป็นสัดส่วน ต่ำกว่า 1% และ BBL, KBANK, SCB คิดเป็นสัดส่วน ต่ำกว่า 1%

Back to top button