CGSI มองกรอบ SET วันนี้ 1,200-1,225 จุด ชูหุ้นเด่น GULF-PTTEP

บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) คาดกรอบ SET Index ที่บริเวณ 1,200-1,225 จุด โดย ความอ่อนไหวประเด็นไทย-กัมพูชา ยังคงแนะนำหุ้นเด่นอย่าง GULF-PTTEP


บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุว่า สรุปภาพรวมตลาด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมโฟกัสไปที่ผลประกอบการ โดย ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (23 ก.ค.68) โดยถูกกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของ IBM

อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดทำนิวไฮ เนื่องจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของ ALPHABET ช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่าผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายอื่นๆ จะแข็งแกร่งตามเช่นกัน

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,693.91 จุด ลดลง 316.38 จุด หรือ -0.70%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,363.35 จุด เพิ่มขึ้น 4.44 จุด หรือ +0.07% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,057.96 จุด เพิ่มขึ้น 37.94 จุด หรือ +0.18%

สรุปภาพรวมสินทรัพย์อื่นๆ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ส.ค. ลดลง 24.1 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 3,373.50 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจาก นักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากการเจรจาการค้ามีความคืบหน้า โดยสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น และมีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (EU)

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.98% ปิดที่ 69.18 ดอลลาร์/บาร์เรล โดย ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น หลังจากมีข่าวว่ารัสเซียกำลังวางแผนที่จะลดการส่งออกน้ำมันเบนซินให้กับทุกประเทศ ยกเว้นประเทศพันธมิตรและประเทศบางแห่ง เช่น มองโกเลีย ซึ่งรัสเซียมีข้อตกลงการจัดหาน้ำมัน

ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยคาดกรอบ SET Index ที่บริเวณ 1,200-1,225 จุด โดยความอ่อนไหวประเด็นไทย-กัมพูชา คือ ประเด็นที่ตลาดจับตา โดยเชื่อว่าหากสถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น CBG น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากเราประมาณการว่ารายได้ 28% ในปี 68 มาจากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในกัมพูชา ขณะที่ BH และ MEGA น่าจะได้รับผลกระทบเช่นกันเพราะเราคาดว่ารายได้จากกัมพูชาจะมีสัดส่วนประมาณ 6% ของรายได้ ในปี 68

รวมถึงตัวเลขสุดท้ายของเจรจาภาษีการค้า ระหว่าง ไทย-สหรัฐฯ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีนำเข้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่ เราจึงได้ทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อเศรษฐกิจของไทย

ภาษีศุลกากรที่ 20%: การเติบโตของ GDP ในปี 2568 อาจลดลงเหลือ 1.6%

ภาษีศุลกากรที่ 25%: การเติบโตของ GDP ในปี 2568 อาจลดลงเหลือ 1.5% เนื่องจากการส่งออกลดลงอีก แต่จะถูกชดเชยด้วยการนำเข้าที่ลดลง (ซึ่งเป็นค่าที่หักออกในการคำนวณ GDP)

ภาษีศุลกากรที่ 30%: การเติบโตของ GDP ในปี 2568 ถูกจำกัดไว้ที่ 1.5% แม้ว่าการส่งออกจะลดลงอย่างมาก แต่การนำเข้าจากสหรัฐฯจะลดลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อ GDP

สำหรับหุ้นแนะนำ มีดังนี้

บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ Pak Lay Power Co., Ltd ซึ่งเราคาดว่าจะทำให้กำไรปกติเพิ่มขึ้น 2 พันล้านบาทตั้งแต่ปี 76

โดยทางฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติในปี 68-70 เพราะโครงการ Pak Lay ยังต้องใช้เวลาอีก 7-8 ปีจึงจะเริ่มทำกำไรให้กับ GULF (Take profit : 47.25 / Stop loss : 46.00)

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอ่อนตัวในครึ่งหลังของปี 68 แต่ราคาก๊าซของ PTTEP น่าจะทรงตัวที่ประมาณ 5.7 เหรียญสหรัฐ ต่อ 1 BTU ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุน EPS

ซึ่งประมาณการว่าราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นทุก 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลจะทำให้ EPS ในปี 68 เพิ่มขึ้น 1.3% (Take profit : 117.50 / Stop loss : 115.00)

Back to top button