BCH-BDMS ท็อปพิก! กลุ่มรพ. รับรายได้ “สปส.” ทยอยจ่ายโรคเรื้อรัง

บล.กรุงศรี มองบวกกลุ่มโรงพยาบาล หลังสปส. ทยอยจ่ายค่ารักษาโรคเรื้อรัง 26 โรค หนุนรายได้พร้อมกำไรไตรมาส 2–3 ขยายตัว ขณะที่หุ้นในกลุ่มยังต่ำบุ๊ก แนะนำ “ซื้อ” BCH-BDMS เด่น


บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึงกลุ่มโรงพยาบาลภายหลังสำนักงำนประกันสังคม (สปส.) ทยอยจ่ายเงินค่ำบริการทางการแพทย์ตามภาระเสี่ยงโรคเรื้อรัง จำนวน 26 โรค ให้กับโรงพยาบาลที่เข้าร่วมในระบบ สปส. ซึ่งเกณฑ์การจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ตามภาระเสี่ยง สปส. กำหนดจ่าย 70% เฉลี่ย 11 เดือนเท่ากันอีก 30% จ่ายเดือนที่ 12

โดยปี 2567 โรงพยาบาลในระบบสปส. อาทิ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH และ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG จะรับรู้รายได้เพิ่มเติมในไตรมาส 3 ปี 2567 จากค่าบริการทางการแพทย์ตามภาระเสี่ยงของโรคเรื้อรัง จำนวน 26 โรค จำนวน 77 ล้านบาท และ 98 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่ฝ่ายนักวิเคราะห์มองประเด็นดังกล่าวเป็น “บวก” ต่อโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมให้บริการสิทธิ สปส. เนื่องจากมีโอกาสรับรู้รายได้เพิ่มเติม ขณะเดียวกันยังเป็นบวกต่ออัตรากำไรที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลที่ฝ่ายนักวิเคราะห์ได้ทำการศึกษาซึ่งเข้าร่วมให้บริการสิทธิ สปส. และมีรายได้จากประกันสังคมไตรมาส 1 ปี 2568 เรียงตามสัดส่วนรายได้จากมากไปน้อย ได้แก่ BCH สัดส่วนรายได้ 34.80%, CHG สัดส่วนรายได้ 30.40% และ BDMS (เครือโรงพยาบาลพญาไทเปาโล) สัดส่วนรายได้ราว 2%

นอกจากนี้ โครงสร้างรายได้ประกันสังคม อาทิ BCH และ CHG ยังมีสัดส่วนรายได้จากภาระเสี่ยงโรคเรื้อรัง จำนวน 26 โรค อยู่ที่ประมาณ 12%-13% ของรายได้ประกันสังคม ทั้งหมด

มองว่ากรณีโรงพยาบาลที่ร่วมให้บริการประกันสังคมจะรับรู้รายได้ภาระเสี่ยงเพิ่มเติม และบันทึกเป็นรายได้ประกันสังคมส่วนเพิ่มในไตรมาส 2 ปี 2568 โดยเฉพาะ BCH และ CHG ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ประกันสังคมมากเป็นอันดับ 1 และ 2 พร้อมทำให้กำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2568 ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้อยุ่ที่ 332 ล้านบาท และ 228 ล้านบาท ตามลำดับ

โดยฝ่ายนักวิเคราะห์คงคำแนะนำเชิงบวก (Bullish) สำหรับกลุ่มเนื่องจากคาดการณ์ว่ากำไรรวมกลุ่มจะเติบโต เฉลี่ยอยู่ที่ 7% (CAGR) ในช่วงปี 2568-2570 และยังมีปัจจัยหนุน (Catalyst) บวกต่อการเติบโตในระยะยาวจากโครงสร้างประชากรไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ความต้องการใช้บริการและความเข้มข้นของการรักษาในโรคที่ซับซ้อนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

ด้านมูลค่าหุ้นโรงพยาบาลที่ศึกษาซื้อขายในปัจจุบันมีค่า PE ปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 19 เท่า ซึ่งเทียบเท่ากับ Forward PE ที่ต่ำกว่า -2.0 SD ถือเป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งหุ้น Top Pick ที่แนะนำ “ซื้อ” ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ให้ราคาเป้าหมายราคา 33 บาท และ BCH ให้ราคาเป้าหมายราคา 19 บาท

นอกจากนี้ บล.กรุงศรี ยังระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึง BCH เป็นหุ้นเด่นในธีม Seasonal & Laggard Plays พร้อมให้ราคาเป้าหมายปี 2568 อยู่ที่ 19 บาท โดยกำหนดแนวรับที่ 13.80-13.50 บาท และแนวต้านที่ 14.80-15.30 บาท พร้อมแนะนำตัดขาดทุนหากราคาต่ำกว่า 13.30 บาท

ประเมินว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน หากตัดผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนออก คาดการณ์ธุรกิจปกติมีกำไรเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และปรับตัวขึ้น 1% เทียบไตรมาสก่อนหน้าโดยได้รับแรงสนับสนุน ได้แก่

1.) รายได้รักษาพยาบาลที่คาดการณ์เติบโต 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 2% เทียบไตรมาสก่อนหน้าตามรายได้ประกันสังคมที่คาดการณ์โต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 1% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ชดเชยรายได้กลุ่มเงินสดที่ทรงตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 2% เทียบไตรมาสก่อนหน้า แม้ยังมีแรงกดดันจากรายได้ผู้ป่วยใน (IPD) ลูกค้าต่างชาติ

2.) อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) อยู่ที่ 28.2% ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและใกล้เคียงไตรมาส 1 ปี 2568 รวมไปถึงปัจจับที่ 3.) ค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้คาดอยู่ที่ 13.10% ทรงตัวทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า

ด้าน Valuation ปัจจุบัน BCH ซื้อขายที่ค่า PER ประมาณ 22 เท่า โดยยังมีปัจจัยบวก (Catalyst) หลายประการ ได้แก่ 1.) เข้าสู่ช่วงฤดูกาลที่ภาคบริการฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ จำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวติดต่อกัน 3 สัปดาห์ จับตาตัวเลขนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางในเดือน ก.ค. 2568 ซึ่งทางการจะรายงานหลังปิดเดือน โดยปกติเป็นจุดสูงสุดรายเดือนของปี สนับสนุนจิตวิทยาการลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาลที่มีฐานลูกค้าต่างชาติ

2.) บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH รายงานกำไรไตรมาส 2 ปี 2568 ดีกว่าตลาดคาดการณ์ ซึ่งช่วยสร้าง Sentiment บวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล และ 3.) โรงพยาบาลในโครงการประกันสังคมมีโอกาสรับรู้ค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มเติม ตามภาระเสี่ยงโรคเรื้อรัง จำนวน 26 โรค

Back to top button