
THAI ปักธงรายได้ 4 แสนล้าน ปี 76 ลุยขยายฝูงบิน-ศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา หนุนธุรกิจโตยั่งยืน
THAI วางเป้ารายได้แตะ 4 แสนล้าน ปี 76 เดินหน้าขยายฝูงบินครบ 150 ลำภายในปี 76-ลุยลงทุนศูนย์ซ่อม MRO อู่ตะเภา ร่วมกับ BA มูลค่า 1 หมื่นล้าน ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งผู้โดยสารสุวรรณภูมิแตะ 35% พร้อมยืนยันสิทธิ BOI ช่วยยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องบินทุกประเทศ หนุนธุรกิจโตยั่งยืน-เตรียมจ่ายปันผลตามนโยบาย
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผย ภายหลังบริษัท จัดพิธีเปิดการกลับเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งอย่างเป็นทางการในวันนี้ (4 ส.ค.68) หลังจากประสบความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ครั้งสำคัญ ในฐานะสายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจ พร้อมต่อยอดสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับการดำเนินงาน คุณภาพการให้บริการ
อีกทั้งควบคู่กับการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลสูงสุด และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อก้าวสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยราคาเปิดเทรดวันแรกอยู่ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 134.4 % จากราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 4.48 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกือบ 3 แสนล้านบาท
นายชายกล่าวอีกว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังคาดเป็นไปตามแผน โดยคาดว่ายอดจอง (booking) จะใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า และมั่นใจผลงานในปีนี้จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเห็นได้จากช่วงที่ผ่านมาการบินไทยสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง 10 ไตรมาสติด หากนับรวมไตรมาสที่ 2 นี้ด้วย
ส่วนความคืบหน้าแผนการลงทุนโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ร่วมกับบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA (สายการบินบางกอกแอร์เวย์) เบื้องต้นประเมินว่าโครงการ MRO นี้จะมีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท และมีกำหนดเริ่มก่อสร้างภายในปี 2570
โดยในส่วนของศูนย์ซ่อมมีจะเป็นลักษณะการใช้พื้นที่ร่วมกัน โดยการบินไทยจะใช้พื้นที่ประมาณ 70% และ BA อีก 30% เนื่องจากการบินไทยใช้พื้นที่มากกว่านั้นเป็นเพราะมี “ecosystem ที่เกี่ยวข้อง” ซึ่งใช้พื้นที่เยอะ รวมถึง “จำนวนเครื่องบินที่มากกว่า
ด้านแผนขยายฝูงบินการบินไทยมีเป้าหมายภายในปี 2576 ว่า สัดส่วนของเครื่องบินในฝูงบินจะประกอบด้วยเครื่อง Boeing ประมาณ 60% และ Airbus ประมาณ 40% ซึ่งอ้างอิงจากจำนวนเครื่องบินทั้งหมดที่จะครบ 150 ลำภายในปีดังกล่าว
นอกจากนี้ในประเด็นเกี่ยวกับภาษีนำเข้าเครื่องบินการบินไทยได้ยืนยันว่า บริษัทฯได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ส่งผลให้ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าเครื่องบิน ไม่ว่าจะซื้อจากประเทศใดก็ตาม โดยสิทธิประโยชน์นี้ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทได้ตัดสินใจจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้งแบบลำตัวแคบจำนวน 45 ลำไปแล้ว โดยเป็นคำสั่งซื้อที่วางไว้ตั้งแต่ปลายปี 2566 ส่วนอีก 35 ลำที่เหลืออยู่ในลักษณะ “Option” ซึ่งยังไม่ตัดสินใจ โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมของสถานการณ์และความต้องการทางธุรกิจในอนาคต
อย่างไรก็ดีการจัดหาเครื่องบิน 45 ลำในล็อตแรก คาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงต้นปี 2571(หรือ 2028) แต่อาจล่าช้าเล็กน้อยเนื่องจากข้อจำกัดด้านการผลิตในอุตสาหกรรม
ส่วนกรณีที่ทีมรัฐบาลไทยไปเจรจาภาษีและเงื่อนไขการนำเข้าเครื่องบินในไทย 80-90 ลำ โดยปัจจุบันยังไม่มีแรงกดดันจากภาครัฐหรือหน่วยงานใด ๆ ให้ดำเนินการจัดซื้อเพิ่มเติม นอกจากนี้ผู้บริหารยังระบุว่า บริษัทยังคงสถานะความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ และเน้นย้ำว่าการตัดสินใจต่าง ๆ ยึดโยงกับหลักธุรกิจและแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรเป็นหลัก ไม่ได้เกิดจากแรงผลักดันภายนอกแต่อย่างใด
ด้านประเด็นการจ่ายเงินปันผล ผู้บริหารยืนยันว่า หากบริษัทมีกำไรสุทธิตามงบการเงินก็สามารถพิจารณาจ่ายปันผลได้ทันทีตามนโยบายขั้นต่ำที่ 25% ของกำไรสุทธิ
นอกจากนี้บริษัทมีแผนส่วนแบ่งทางการตลาดที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยปัจจุบันส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทที่สนามบินสุวรรณภูมิอยู่ที่ 26% มีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งนี้เป็นประมาณ 35% ภายในปี 2029 (หรือ 2572)นอกจากนี้
นายชายกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ในส่วนของการกลับสู่ดัชนี SET50 “สักวันหนึ่งเราเชื่อว่าจะได้อยู่ใน SET50” ซึ่งสะท้อนความมั่นใจต่อแนวโน้มการเติบโตและผลประกอบการในระยะยาว โดยวางเป้าหมายรายได้แตะ 4 แสนล้านภายในปี 2033 (หรือ 2576) ซึ่งสอดคล้องกับการมีฝูงบินครบ 150 ลำ