KBANK บวกต่อ 1% ปรับนโยบายจ่ายปันผลเกิน 50% โบรกชี้ยีลด์แตะ 7% เคาะเป้าสูงสุด 192 บ.

KBANK บวกต่อ 1% รับข่าวดีปรับนโยบายจ่ายปันผลเกิน 50% หนุน Yield แตะ 7% โบรกฯ ชูเป้าสูงสุด 192 บาท พร้อมยังเป็นเป้าหมายของฟันด์โฟลว์ต่างชาติ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 ส.ค. 68) ราคาหุ้น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ณ เวลา 10:26 น. อยู่ที่ระดับ 165.50 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 0.91% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 166.00 บาท ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 165.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 374.66 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมอง Slightly Positive ต่อการประชุมนักวิเคราะห์ของ KBANK มีการปรับเพิ่ม Regular dividend payout ratio หรืออัตราส่วนการจ่ายเงินปันผล จากไม่ต่ำกว่า 25% เป็นไม่ต่ำกว่า 50% ในปี 2568 และคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันระหว่างกาล “มากกว่า” งวดไตรมาส 1/2567 ที่มีการจ่ายไว้ 1.50 บาท คงแนะนำ NEUTRAL และราคาเป้าหมายที่ 170 บาท โดยธนาคารฯ รักษาระดับเงินปันผลต่อปี Dividend yield ที่ระดับ 7% ได้ และสามารถบริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี ทั้งค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.กรุงศรี กล่าวว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อการปรับโยบายการจ่ายเงินปันผลของ KBANK ส่วนสาเหตุนั้น มาจากต้องการเพิ่มหรือรักษาระดับ ROE ไว้ ขณะที่ KBANK ยังคงเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติ หรือ ฟันด์โฟลว์ เวลาโยกเงินเข้าตลาดหุ้นไทย

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เผยว่า KBANK จัด Virtual Roadshow กลางปี 2568 นี้ ซึ่งในงานนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ KBANK กล่าวว่า เป้าหมายทางการเงินในปี 2568 ยังไม่เปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย อัตราการเติบโตของสินเชื่อ 0% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) 3.3-3.5% รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเติบโต 5-9% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ที่ 40-45% และอัตราการสำรองหนี้สูญ 1.40-1.60% ขณะที่คาดปีนี้ GDP ไทยจะขยายตัว 1.5% แต่อาจมี Downside risk หากนักท่องเที่ยวขาเข้าชะลอตัวมากกว่าคาดและหนี้ครัวเรือนสูง

นอกจากนี้ ผู้บริหาร KBANK ยังคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.5% ในครึ่งปีหลัง 2568 ส่วนลูกค้าเป้าหมายของ KBANK ในปี 2568 คือกลุ่มลูกค้าเดิม, ลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อแบบมีหลักประกันและลูกค้าที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน

KBANK ยังได้ปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงเป็น 50% ของกำไรสุทธิ จากเดิมที่ 25% และตั้งเป้าหมายอัตราการจ่ายเงินปันผลในระยะกลางอยู่ที่ 50-60% เพื่อเพิ่มผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น จึงตั้งสมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 50% ในปี 2568-2570 โดยผู้บริหาร KBANK กล่าวว่าการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีแรก 2568 จะขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมคณะกรรมการของธนาคาร และจะประกาศก่อนสิ้นเดือน ส.ค. 2568

อีกทั้ง KBANK จะพิจารณาเรื่องการจัดสรรผลกำไรเพิ่มเติมด้วยการ “จ่ายเงินปันผลพิเศษ” หรือ “การซื้อหุ้นคืน” ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจมหภาค ขณะที่ KBANK ตั้งเป้า ROE ในปี 2568 เป็นเลขสองหลัก แต่ขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจและการขยายตัวของ GDP

นอกจากนี้ ได้ตั้งเป้าหมายอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET-1) ไว้ไม่ต่ำกว่า 15% ในระยะกลาง และอยู่ที่ 17.7% ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ซึ่งน่าจะช่วยลดผลกระทบจากการปฏิรูป Basel III ในปี 2571

KBANK ยังให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุน โดยธนาคารมีค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 1% จากปีก่อน ในครึ่งปีแรก 2568 เนื่องจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดและค่าใช้จ่ายอื่นลดลง ส่วนปัจจัยที่หนุนให้รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต คือ ธุรกิจบัตรเครดิต, บริการประกันผ่านธนาคาร, กองทุนรวม, การบริหารจัดการเงินทุนและค่าธรรมเนียม ผลิตภัณฑ์ธุรกิจต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์ยังเป็นเรื่องท้าทายสำหรับธนาคาร ซึ่ง KBANK ตั้งเป้าหมายจะทำให้อัตราการสำรองหนี้สูญกลับมาอยู่ในระดับปกติที่ 1.40-1.60% ในปี 2568 เทียบกับสมมติฐานของ CGSI ที่ 1.75%

ทั้งนี้ ยังแนะนำ “ซื้อ” KBANK เพราะธนาคารมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจที่ 5.5-7.1% ต่อปีในปี 2568-2570 และราคาเป้าหมายที่ 184 บาท

อย่างไรก็ตาม KBANK จะมี downside risk หากธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ สินเชื่อ Stage2 พุ่งสูงขึ้น และธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนราคาหุ้นคือการปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 2568-2570 เนื่องจากอัตราการสำรองหนี้สูญกลับมาอยู่ในระดับปกติและจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ย

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) มีมุมมองเชิงบวกหลังจากเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนของ KBANK สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดย CEO ได้ประกาศเปลี่ยนนโยบายการจ่ายเงินปันผลจาก 25% เป็น 50% และตั้งเป้าการจ่ายปันผลในระดับ 50-60% ในระยะกลาง

อีกทั้งฝ่ายบริหารยังได้ให้แนวทางเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินทุนในอนาคต KBANK ยังคงเป้าหมายทางการเงินปี 2568 ตามเดิม และย้ำว่า คุณภาพสินทรัพย์และต้นทุนเครดิตยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 192.00 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ธนาคารให้ Guidance ว่าจะปรับเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลปี 2568 ขึ้นเป็น 50% ของกำไรสุทธิ (จากปี 2567 ที่ 46%, ปี 2566 ที่ 36%) โดยมีเป้าหมายระยะกลางที่ 50-60% ทั้งนี้ ธนาคารจะพิจารณาเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น เช่น การจ่ายปันผลเพิ่ม รวมถึงโครงการซื้อหุ้นคืน ขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจ และขยายอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นเลขสองหลักในระยะยาว คงคำแนะนำ “ถือ” ให้ราคาพื้นฐาน 175 บาท อิงกับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) ปีนี้ที่ 0.74 เท่า ณ ราคาปัจจุบัน 162.50 บาท คาดการณ์ดิวิเดนด์ยีลด์ปีนี้ไว้ประมาณ 6% ต่อปี จ่ายปีละ 2 ครั้ง

แบงก์ใหญ่ต่างปรับปันผลเพิ่ม

ด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เผยว่า นโยบายการจ่ายเงินปันผลของกลุ่ม SCB ในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงเฉลี่ยถึง 80% ของกำไรสุทธิ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารไทย โดยนโยบายนี้เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2566 และยังคงไว้ต่อเนื่องในปี 2567

ขณะที่จากผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ที่ออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าคาด ส่งผลให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ที่ SCB จะขยับเพดานการจ่ายปันผลให้สูงขึ้นอีก เพื่อสะท้อนศักยภาพของผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยในประเด็นนี้ คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ของ SCBX ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่มีการประกาศ แต่การที่ SCB มีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ SCB ตั้งไว้เดิมที่ 30% ของกำไรสุทธิ โดยมีค่าเฉลี่ยการจ่ายจริงอยู่ที่ประมาณ 80% ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมาก

ด้านนักลงทุนสัทพันธ์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ธนาคารยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราเฉลี่ยประมาณ 49-50% ของกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นระดับที่ได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร (บอร์ด) มาตั้งแต่ปี 2567 ก่อนหน้านี้ KTB เคยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 35% ของกำไรสุทธิ แต่จากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น ธนาคารได้ทยอยปรับเพิ่มเพดานการจ่ายปันผลให้สูงขึ้นตามลำดับ จนมาคงระดับที่เกือบครึ่งหนึ่งของกำไรสุทธิในปัจจุบัน

“ธนาคารกรุงไทยมีการเพิ่มเพดานการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2566 ที่จ่ายเงินปันผลโดยรวมในอัตรา 35% ของกำไรสุทธิ และในปี 2567 ธนาคารฯ ได้ปรับเพดานการจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นเป็นระดับ 49-50%” นักลงทุนสัมพันธ์ KTB ระบุ

นักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB กล่าวว่า TTB ได้มีการปรับเพิ่มเพดานการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 โดยจากระดับต่ำสุดที่ 35% ในปี 2564 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 2565-2566 และล่าสุดในปี 2567 ปรับขึ้นอีกครั้งเป็น 60% ของกำไรสุทธิรวม

ทั้งนี้ TTB ยังเสริมผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเพิ่มเติมด้วยโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินเฟสแรก 7,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับการจ่ายปันผลที่ระดับ 60% แล้ว เท่ากับว่าธนาคารฯ ส่งผลตอบแทนกลับสู่ผู้ถือหุ้นเต็ม 100% ของกำไรสุทธิที่ทำได้

Back to top button