
COCOCO โชว์รายได้ Q2 ทะลุ 1.8 พันล้าน ดันกำไรฟื้นแตะ 77 ล้าน
COCOCO โชว์งบ Q2/68 สุดแกร่ง กำไรแตะ 77 ลบ. โต 19.94% รายได้รวม 1,803 ลบ. พุ่ง 16.33% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยผลิตภัณฑ์กะทิ-น้ำมะพร้าว-อาหารสัตว์เลี้ยงเติบโต
ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้หน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO ผู้ผลิตจำหน่าย และส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 2/2568 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,803.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.58% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 16.33% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 อยู่ที่ 77.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.94% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มน้ำมะพร้าวที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในตลาดต่างประเทศ โดยมาจากการขยายตัวในหลายตลาดหลัก โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียและอเมริกา
“การเติบโตของยอดขาย สะท้อนถึงความต้องการบริโภคเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และการเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมการตลาด ทั้งการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และการสำรวจตลาดใหม่ พร้อมทั้งรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” ดร.วรวัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิ น้ำมะพร้าว และอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตต่อเนื่อง สะท้อนถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีก
ดร.วรวัฒน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือนแรกปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,353.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.61% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 142.23 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากต้นทุนขายที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบมะพร้าวที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño)
ขณะที่รายได้รวมงวด 6 เดือน ที่เพิ่มขึ้นมาจากความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเติบโตของตลาด โดยเฉพาะประเทศจีน ภูมิภาคเอเชีย และตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งบริษัทฯ สามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและเพิ่มยอดขายจากลูกค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการจากประเทศไทยในอัตรา 19% บริษัทฯ ประเมินว่า กรณีดังกล่าวไม่มีผลกระทบในเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ เนื่องจากอัตราภาษีใหม่นี้ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ และบริษัทฯ มีการวางแผนด้านราคาขายและโครงสร้างต้นทุนอย่างรอบคอบ
บริษัทฯ ตระหนักถึงปัจจัยภายนอกเหล่านี้ และได้นำมาวิเคราะห์เพื่อปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเน้นการบริหารความเสี่ยง การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การวางแผนด้านภาษีระหว่างประเทศ และการบริหารต้นทุนแบบองค์รวม เพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันอย่างยั่งยืนระยะยาว
อีกทั้ง บริษัทฯ ให้ความสำคัญด้านการจัดการวัตถุดิบในสภาวะที่ราคามะพร้าวมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากผลกระทบของปรากฏการณ์ เอลนีโญ (El Niño) โดยบริษัทฯ มีแผนสำรองวัตถุดิบล่วงหน้าไว้บางส่วน พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และอยู่ระหว่างบริหารความเสี่ยงต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนโรงงานในฟิลิปปินส์ เพื่อเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบต้นทุนต่ำ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และโครงการลดต้นทุนพลังงาน เช่น Solar Rooftop และโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่จะส่งผลให้บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะจัดหาแนวทางการบริหารวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.วรวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านนวัตกรรมและการยกระดับมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและมาตรฐานสากล เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งเดินหน้าขยายตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง ผ่านการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และการวางแผนการตลาดที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค เพื่อผลักดันสินค้าไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกอย่างมั่นคง และสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทในระยะยาว