BBIK กวาดกำไรครึ่งปีแรกทะลุ 146 ล้าน โต 38% ตุนแบ็กล็อก 1.08 พันลบ.

BBIK โชว์กำไรครึ่งปีแรก 2568 แตะ 146 ล้านบาท โต 38% จากปีก่อน พร้อมตุนงานในมือ 1,082 ล้านบาท คาดรับรู้ปีนี้กว่า 755 ล้านบาท มั่นใจครึ่งปีหลังโตต่อรับเทรนด์ลงทุนเทคโนโลยี


นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK กล่าวว่า บริษัทพิสูจน์ศักยภาพฝ่าวิกฤตความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจครึ่งปีแรก 2568 กวาดกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 146 ล้านบาท โต 38% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ที่ 110 ล้านบาท ในส่วนของรายได้รวมอยู่ที่ 712 ล้านบาท ขยายตัว 0.5% (YoY) แม้มีผลจากการปรับโครงสร้างกลุ่มองค์กรตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่มีการย้ายพนักงานส่วนหนึ่งไปเป็นผู้ปฏิบัติการหลักของบริษัทร่วมทุนโดยตรง ทำให้รายได้ส่วนที่เรียกเก็บจากกลุ่มพนักงาน (Secondment) ดังกล่าวลดลง แต่หากพิจารณาเฉพาะรายได้ที่ให้บริการต่อลูกค้าภายนอกยังคงเติบโตถึง 14% (YoY)

โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 74 ล้านบาท (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 20% เพิ่มขึ้นจาก 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) เพิ่มขึ้น 79% (YoY) และ 2% (QoQ) ในส่วนของรายได้เพิ่มขึ้น 8% (YoY) และ 5% (QoQ) มาอยู่ที่ 365 ล้านบาท

ส่วนมูลค่างานแบ็คล็อค ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ของบริษัทฯ (รวมแบ็คล็อคของกิจการร่วมทุน) กลับมาเติบโต อยู่ที่ 1,082 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้มากกว่า 755 ล้านบาทในปีนี้ ประกอบด้วยรายได้จากบริษัทแม่และบริษัทย่อยจำนวน 505 ล้านบาท และจากกิจการร่วมทุนจำนวน 250 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2569 ถึง 2572

นายพชร กล่าวอีกว่า ผลลัพธ์จากบริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจรของบลูบิค ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง รวมถึงการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในบริษัทแม่และบริษัทย่อย และการรุกขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดกลางและภาครัฐ ทำให้บลูบิคยังคงรักษาขีดความสามารถในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางปัจจัยลบและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี 2568

“ถึงแม้ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการค้าโลกชะลอตัวในครึ่งปีหลัง    แต่บริษัทฯ ประเมินว่าความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯที่มีต่อไทย จะทำให้ภาคธุรกิจเร่งปรับตัว   เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลให้แผนการปรับใช้เทคโนโลยีและยกระดับประสิทธิภาพการทำงานผ่าน การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องจะกลับมาดำเนินการตามปกติ รวมถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สามารถรองรับการขยายตัวและเทรนด์การค้าใหม่ ๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ลูกค้าอาจพิจารณาและเลือกลงทุนกับโครงการที่คุ้มค่า สอดรับกับความเชี่ยวชาญและบริการแบบครบวงจรของบลูบิคที่มุ่งเน้นส่งมอบงานที่ตอบโจทย์ธุรกิจอย่างแท้จริง ดังนั้นบริษัทฯ จึงเชื่อมั่นว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง” นายพชร กล่าว

ภาพรวมตลาดเทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศไทยในปี 2568 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย การ์ทเนอร์ อิงค์ (Gartner Inc.) คาดการณ์ว่า การใช้จ่ายด้านไอทีในไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 7.9% จากปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 996,000 ล้านบาท โดยกลุ่มที่เติบโตโดดเด่นที่สุด คือ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 17% และซอฟต์แวร์องค์กร (Enterprise Software) ซึ่งขยายตัวถึง 16.1% สะท้อนให้เห็นถึงการเร่งปรับตัวของธุรกิจไทยในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและโซลูชันเทคโนโลยี เพื่อรองรับการเติบโตของยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

บริษัทฯ ประเมินว่า กระแสการลงทุนด้านเทคโนโลยีดังกล่าวข้างต้น สอดรับกับทิศทางการเติบโตอย่าง           มีนัยสำคัญของบริการด้านต่าง ๆ ของบริษัทฯ โดยเฉพาะงานที่ปรึกษาด้าน Digital Excellence & Delivery และ ERP  ที่มีการส่งมอบงานอย่างต่อเนื่องแก่ลูกค้าที่ต้องการระบบที่สามารถรองรับการเติบโตและแข่งขันของธุรกิจ อีกทั้งการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันยังถือเป็นแผนงานที่จำเป็นในหลายกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ สถาบันการเงิน กลุ่มประกันภัย กลุ่มพลังงาน กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต กลุ่มเทคโนโลยีและสื่อสาร รวมถึงภาครัฐ ซึ่งให้ความสำคัญมากขึ้นกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น โครงการ Cloud First Policy (นโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนการใช้คลาวด์ในภาครัฐ) และ Virtual Bank ดังนั้นการลงทุนด้านเทคโนโลยีในไทยจึงสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อการดำเนินงานของบลูบิค

“บริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงมากมายตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การเติบโตของผลประกอบการ  อย่างต่อเนื่อง จำนวนพนักงานหลักสิบในวันนั้นจนถึงหลักพันในวันนี้ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2564 และย้ายเข้าสู่ SET ภายใน 4 ปี (2568) เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและไม่หยุดนิ่ง    ที่จะพัฒนาองค์กรเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเหตุนี้บริษัทฯ จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2568 นี้ได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา” นายพชร กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button