“ชนินทธ์” เปิดใจขัดแย้ง เหตุ “ทายาท” ดึงกลุ่มเซ็นทรัล คุมอำนาจบริหาร “ดุสิตธานี”

“ชนินทธ์ โทณวณิก” เปิดใจขัดแย้งภายในครอบครัว ชี้น้องดึง “กลุ่มเซ็นทรัล” มีบทบาทบริหาร ขัดเจตนารมณ์คุณหญิงชนัตถ์ ยันข้อกล่าวหาขาดทุนไม่สะท้อนความจริง ชี้โครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” สร้างกำไรมหาศาล ประกาศจะสู้เต็มที่เพื่อปกป้อง “ดุสิตธานี” รักษาแบรนด์ไทยให้อยู่คู่ชาติ


ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (27 ส.ค.68) นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยภายหลังหลายท่านคงได้เห็นข่าวว่า บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ได้เสนอวาระให้ถอดถอนผมออกจากตำแหน่งกรรมการ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ บมจ.ดุสิตธานี ที่จะถึงในเดือนหน้านี้ วันนี้ผมจึงขอใช้โอกาสนี้ พูดตรงๆ ต่อสาธารณะ เพื่อให้ทุกคนได้รับฟังข้อเท็จจริงจากปากของผมเอง

โดยจุดเริ่มต้นของปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้เริ่มจากความวุ่นวายของการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 32/2568 ที่ผ่านมาทั้ง 2 ครั้งและการไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ของบมจ.ดุสิตธานี แต่จุดเริ่มต้นของปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นหลังจากที่ ท่านผู้หญิง ชนัตถ์  ปิยะอุย เสียชีวิตสิ้น

เนื่องจากท่านผู้หญิงฯ ได้มอบหมายให้ผมเป็นเสาหลักในการดูแลกิจการของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี และธุรกิจอื่นของครอบครัวเป็นเวลากว่า 30 ปี ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาอำนาจกรรมการของบริษัทภายใต้การดูแลของท่านผู้หญิงฯ คือ ท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับผม หรือ ท่านผู้หญิงฯ หรือ ลงนามร่วมกับคุณสินี  เธียรประสิทธิ์ โดยเมื่อท่านผู้หญิงฯ ไม่อยู่แล้วผมคือผู้ลงนามหลักที่ต้องลงนามร่วมกับคุณสินี หรือผมลงนามร่วมกับน้องคนเล็ก

ต่อมา น้องทั้ง 2 ได้ร่วมกันใช้เสียงโหวตเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการเดิมที่คุณแม่กำหนดไว้ เพื่อแก้ไขอำนาจกรรมการ โดยไม่ฟังเสียงของผม โดยจากที่ผมมีอำนาจหลักในการลงนามร่วมกับใครคนใดคนหนึ่ง เปลี่ยนให้เป็นกรรมการสองในสามลงนามร่วมกัน

หลังจากนั้นก็ร่วมกันปลดผมออกจากการเป็นกรรมการของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด รวมถึงการปลดผมออกจากการเป็นกรรมการทุกบริษัทใน กองมรดก ทั้งที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม ผมจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิของผมและขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง

ต่อมาในช่วง โควิด-19 เราทั้ง 3 คน มีการตกลงที่จะแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วน คือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี) บริษัท ปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และ บริษัท ธนจิรัง จำกัด (เป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์)

โดยทุกฝ่ายตกลงให้ผมได้หุ้นทั้งหมดใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในขณะที่น้องแต่ละคนได้หุ้นในอีก 2 บริษัทดังกล่าว และให้นำทรัพย์สินอื่นๆ มาชดเชยกันให้เป็นธรรมและเท่าเทียมกันสำหรับทุกฝ่าย แต่ในภายหลังทั้ง 2 คนเปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อตกลงนั้น ซึ่งผมเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของน้องทั้ง 2 น่าจะเป็นผลมาจาก โครงการ Dusit Residences  เกิดขายดีกว่าที่คิดหลังจากโควิดจบลงโดยปัจจุบัน Dusit Residences ขายได้ 92% ทยอยรับรู้รายได้ปี 2569

ส่วนผลกระทบที่ลุกลามมาถึงดุสิตธานี ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้เพราะมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวและยังหวังว่าการฟ้องร้องต่างๆ  ของผมที่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายจะนำไปสู่การไกล่เกลี่ยและประนีประนอม แต่วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาพูด เพราะการกระทำแบบเดียวกันได้ขยายมาถึง บมจ.ดุสิตธานี

ก่อนหน้านี้ พวกเขาใช้อำนาจผ่านบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงินทั้งที่งบการเงินไม่ได้มีปัญหา และล่าสุดยังพยายามถอดถอนผมออกจากตำแหน่งกรรมการในดุสิตธานี เพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกครอบครัว เข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อ บมจ.ดุสิตธานี แต่ยังเป็นการเปิดทางให้คนนอกครอบครัวเข้ามายึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมาอีกด้วย นอกจากนี้ ผมเห็นว่าผู้ที่จะต้องเสียหายไปด้วยก็ คือ ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถตอบโต้ หรือทำอะไรได้เลย

สิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะมีการเสนอกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ กลุ่มเซ็นทรัล

การเปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจจากคนในครอบครัวไปสู่คนนอกที่ไม่เคยบริหารและไม่รู้จักดุสิตธานีอย่างแท้จริงมาก่อน โดย 2 ใน 3 สามารถลงนามแทนบริษัท เป็นการเปิดทางให้คนนอกเข้าควบคุมกิจการที่ครอบครัวสร้างมาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมการเดิมลงนามเลยก็สามารถผูกพันดุสิตธานีได้ และที่ผ่านมายังมีความพยายามผลักดันให้ผมแบ่งหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานี ออกเป็น 3 ส่วน เพื่อขายต่อให้คนนอก ทั้งๆ ที่ข้อบังคับของบริษัท ชนัตถ์และลูก ระบุไว้ว่า

ไม่ให้ขายหุ้นของชนัตถ์และลูก ให้แก่คนนอกครอบครัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้เท่ากับเปิดประตูให้คนนอกเข้ามาครอบครองกิจการที่เคยเป็นของครอบครัวสร้างมาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง

กลุ่มเซ็นทรัล เคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.ดุสิตธานี หลายครั้ง ครั้งหนึ่งเคยซื้อหุ้นดุสิตธานีจนถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้เราทราบ ทั้งที่เป็นพันธมิตรและคู่สัญญาใน โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จนผมต้องไปเจรจาเพื่อขอให้เขาขายหุ้นออกครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้กลุ่มเซ็นทรัลส่งคนมานั่งเป็นกรรมการ เพราะธุรกิจเรามีความทับซ้อนกัน เช่น

ธุรกิจสายโรงแรมก็มีการแข่งขันกันโดยตรงและยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหารเหมือนกัน ด้วยเกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์

ต่อมาผมได้ทราบมาจากหลายช่องทางและเข้าใจว่าทาง กลุ่มเซ็นทรัล และบริษัท ชนัตถ์และลูก ภายใต้การบริหารของน้องสาวทั้ง 2 ของผม ได้มีการหารือกันหลายครั้ง เพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม ผมเข้าใจว่าการหารือกันระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเข้าควบคุมอำนาจบริหารกิจการดุสิตธานี

ซึ่งผมเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและ โครงการดุสิต เรสซิเดนเซส และยังอาจมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากความทับซ้อนของธุรกิจ และที่สำคัญ ณ ปัจจุบัน โครงการนี้ สามารถขายไปได้แล้วกว่า 92% เพราะผู้ซื้อเชื่อมั่นในชื่อเสียงและการบริหารงานอย่างมีคุณภาพ และการไม่เอาเปรียบผู้ซื้อของดุสิตธานี แต่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ และอาจจะส่งผลกระทบต่อการโอนห้องชุด ที่จะเริ่มในไม่กี่เดือนข้างหน้า และกระทบต่อความเชื่อมั่นในโครงการทั้งหมด

ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหมดนี้ ผมอยากให้ทุกคนย้อนกลับไปมองว่า ดุสิตธานี ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่ออะไร ท่านผู้หญิงชนัตถ์ เป็นคนแรกๆ ในประเทศ ตั้งแต่เมื่อ 76-77 ปีที่แล้ว ที่เชื่อมั่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ท่านจึงได้พยายามสร้างโรงแรมที่ดี และต่อมาจึงสร้างโรงแรมดุสิตธานีอย่างยิ่งใหญ่ กลายเป็นโรงแรมต้นแบบที่นำเอาหลายสิ่งที่ประเทศไทยยังไม่เคยมีมาก่อนมาไว้ที่นี่ เช่น เป็นโรงแรมที่มีรูปลักษณะของการออกแบบที่เป็นไทย และมีการบริหารงานและการให้บริการด้วยเอกลักษณ์ของความเป็นไทย  มีการเชิญคนอื่น โดยส่วนใหญ่เป็นเพื่อนคุณแม่ เข้ามาร่วมลงทุนในการสร้าง

ดังนั้น เมื่อโรงแรมดุสิตธานี เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2513 จึงกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย และกลายเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น โรงแรมแห่งนี้กลายเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาให้กับประเทศไทย และเป็นตัวชูโรงในการเชิดชูวัฒนธรรมไทย และการออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างไทย ให้ต่างชาติได้เห็น ซึ่งหลังจากนั้น ก็ยังไม่มีโรงแรมไหนหรือธุรกิจการท่องเที่ยวใดๆ ที่สามารถสร้างภาพพจน์ในระดับเดียวกันกับที่ดุสิตธานีเคยทำได้มาก่อน

นอกจากนี้ ท่านผู้หญิงฯ ยังได้วางหลักการในการบริหารธุรกิจ ที่เรายึดถือมาโดยตลอดตั้งแต่แรก คือ Business with Honor นั่นก็คือ ต้องทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบใคร  เชิดชูความเป็นไทย ไม่ค้ากำไรเกินควร  ยึดประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อนสิ่งอื่นใด ยึดผลประโยชน์และความพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ มากกว่าจะเห็นผลประโยชน์ต่างๆ เฉพาะตน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ หรือกำไรระยะสั้นๆ  นี่คือรากฐานที่ทำให้ดุสิตธานีเป็นแบรนด์ไทยที่ทุกคนภาคภูมิใจ

ท่านผู้หญิงฯ เน้นย้ำว่า เพื่อให้หลักการนี้คงอยู่ ครอบครัวลูกหลานของท่านจะต้องเป็นผู้ดูแลและรักษาบริษัทไว้ต่อไป และนั่นคือที่มาของโครงสร้างการบริหารที่ท่านผู้หญิงฯ วางไว้ใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งสุดท้ายแล้ว เป็นที่น่าเสียใจและเจ็บปวดอย่างยิ่ง ที่คุณสินีและน้องอีกคนเห็นต่างและเป็นผู้เปิดประตูเชิญชวนให้คนนอกที่ไม่เคยบริหารดุสิตธานีมาก่อนเข้ามามีอำนาจควบคุม บมจ.ดุสิตธานี ที่ยืนหยัดบริหารงานตามหลักการของท่านผู้หญิงชนัตถ์มาโดยตลอด

ส่วนข้อกล่าวหาว่า บริษัทขาดทุนต่อเนื่องและมีหนี้สินสูงนั้น ไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด การขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการใหญ่ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 46,000 ล้านบาท การลงทุนในโครงการต่างๆ ก่อนที่จะเกิดโควิด และความพยายามในการประคับประคองกิจการในช่วงโควิด โดยที่เราไม่เคยเพิ่มทุนแม้แต่น้อย ไม่เคยที่จะผลักภาระต่างๆ ไปยังผู้ถือหุ้น แต่พยายามอย่างมากที่จะดูแล ประคับประคองกิจการ ดังนั้น นี่ไม่ใช่การล้มเหลวทางธุรกิจ  แต่เป็นรากฐานในการสร้างธุรกิจให้เติบโตต่อไป

วันนี้เราได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เราทำได้  โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยความเชื่อมั่น และการสนับสนุนของผู้ถือหุ้นรายย่อย ตลอดจนคณะกรรมการของบริษัททุกๆ ท่าน ทั้งที่พ้นวาระไปแล้ว เพราะบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่เลือกให้กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ และคณะกรรมการบริษัทชุดปัจจุบัน  รวมถึงคณะผู้บริหารที่นำโดยคุณศุภจี และพนักงานของดุสิตธานีทุกคนที่ทุ่มเททำงานกันมาอย่างหนักเป็นเวลา 7-8 ปี เราต้องผ่านทั้งปัญหาเรื่องโควิด ปัญหาเรื่องการขอกู้เงินธนาคาร

ซึ่งมีนโยบายระงับการให้สินเชื่อในช่วงโควิด ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างช่วงโควิด การมีสงครามในหลายประเทศทำให้วัสดุก่อสร้างราคาแพงขึ้น ปัญหาคอนโดล้นตลาด และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ทุกคนร่วมต่อสู้กันมาโดยตลอด ทำให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมาก ตั้งแต่หลักการ แนวคิด และการออกแบบให้โครงการมีความแตกต่างจากที่อื่น และมีจุดแข็งหลายอย่าง เช่น ทุกอาคารในโครงการมองเห็นวิวสวนลุมพินีอย่างเต็มตา

ตอนนี้โครงการทั้งหมดกำลังเดินไปได้ดีมาก โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่เปิดมาไม่ถึงปี ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า โครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นโครงการห้องชุดขายไปแล้วกว่า 92% รอทยอยรับรู้รายได้การโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 และจะช่วยให้เรามีรายได้เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และกำลังจะมีกำไรมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

รายได้เหล่านี้ จะมาช่วยปลดภาระหนี้ที่ค้างอยู่  นอกจากนี้ เรายังพยายามสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ดีงามให้กับสังคม เช่น สวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งนี่คือ แนวคิดของผม ที่ต้องการสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพ  ดังนั้น ความสำเร็จเหล่านี้ คือ เครื่องพิสูจน์ว่า ดุสิตธานีกำลังจะก้าวผ่านช่วงที่ยากที่สุด และเดินสู่การเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ส่วนตัวของผมกับใคร แต่คือการปกป้องดุสิตธานีที่กำลังจะมีอนาคตที่สดใส จากการถูกยึดครองโดยไม่เป็นธรรม  ทั้งๆ ที่ ดุสิตธานีคือแบรนด์ไทยที่ครอบครัวเราสร้างมากว่า 76 ปี และเป็นมรดกทางจิตวิญญาณที่ต้องรักษาไว้  แต่อยู่ๆ กลับจะมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการ ด้วยการเสนอชื่อกรรมการเข้ามาใหม่ถึง 10 คน ทำให้จำนวนกรรมการเพิ่มขึ้นจากเดิม 12 เป็น 18 คน และเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม

ซึ่งสามารถทำให้อำนาจการควบคุมกิจการเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหาร ซึ่งผมคิดว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการ และทีมงานที่ทุ่มเทเวลามาเกือบ 10 ปี เพื่อฟูมฟักและทำให้ดุสิตธานีเติบโตมาจนถึงจุดนี้  และที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นยังเป็นการไม่ยุติธรรมต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย

ดังนั้น ผมเห็นว่าการที่พยายามจะเอาคนนอก ที่ไม่ได้เข้าใจความเป็นดุสิตธานี เข้ามากุมอำนาจในช่วงนี้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมกับหลายๆ ฝ่าย ซึ่งอาจจะสร้างผลกระทบในทางลบกับบริษัทดุสิตธานีอย่างมาก ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของดุสิตธานี จะสร้างผลกระทบให้กับเจ้าของโรงแรมที่ไว้วางใจให้ดุสิตธานีบริหารให้เกือบ 300 แห่งทั่วโลก หรือแม้แต่หุ้นส่วนที่มาเข้าลงทุนกับบริษัทในเครือ ลูกค้าที่มาใช้บริการโรงแรม รวมถึงลูกค้าในโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส กว่า 400 คนที่มาซื้อห้องชุด ด้วยความเชื่อถือและมั่นใจในคณะกรรมการ และผู้บริหารชุดปัจจุบัน

ผมขอยืนยันว่า ดุสิตธานี จะต้องเป็นบริษัทที่มีความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทอื่น จึงจะสามารถสืบสานเจตนารมณ์และหลักการที่ดีของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ในการเน้นเอกลักษณ์และความเป็นไทย และให้คุณค่าความสำคัญกับกับการดูแลผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายสำหรับการสนับสนุนที่มีให้มาโดยตลอด  และขอยืนยันว่า สิ่งที่ผมทำ ไม่ใช่เพื่อรักษาตำแหน่ง แต่เพื่อรักษาความถูกต้อง ความเป็นธรรม และอนาคตขององค์กร เพื่อให้ดุสิตธานียังคงเป็นแบรนด์ไทยที่น่าภาคภูมิใจของครอบครัว ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน และประเทศชาติ

ผมขอสัญญาว่า ผมยังจะไม่ไปไหน  และจะยังอยู่กับดุสิตธานีตลอดไป และถ้าหากสามารถปลดผมได้ ผมก็จะยังอยู่กับดุสิตธานีในบทบาทอื่น และจะพยายามอย่างเต็มที่ในการกลับเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารดุสิตธานีเหมือนเดิม ผมจะไม่ยอมทิ้งดุสิตธานีไปไหน  รวมทั้งจะใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่มีอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องดุสิตธานี ไม่ให้ถูกยึดครองโดยไม่ชอบธรรม ผมจะคอยทำหน้าที่จับตาและเฝ้าดู กรรมการและผู้บริหารใหม่ รวมถึง ใครก็ตาม หากเข้ามาทำให้ดุสิตธานีเสียหาย ผมจะใช้สิทธิที่ตนเองมีในการดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด

ส่วนความสัมพันธ์กับกลุ่มเซ็นทรัลจริงๆ เป็นอย่างไรนั้น เรากับกลุ่มเซ็นทรัลเป็นพันธมิตรร่วมกันในโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค และเซ็นทรัลเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งในดุสิตธานี ซึ่งที่ผ่านมาผมเคยเจรจาขอร้องไม่ให้เข้ามานั่งในคณะกรรมการ เพราะธุรกิจเรามีการทับซ้อนกัน การที่วันนี้มีรายชื่อกรรมการใหม่ที่เชื่อมโยงกับพวกเขา ผมจึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวลต่ออนาคตบริษัท

ขณะที่การที่คุณฟ้องร้องน้อง ๆ ของตัวเอง ดูเป็นการแตกแยกครอบครัวหรือไม่ ผมไม่อยากให้เกิดการแตกแยกเลยครับ แต่เมื่อพฤติกรรมบางอย่างไม่เป็นธรรม และเปิดทางให้คนนอกมายึดสมบัติที่ครอบครัวสร้างมา ผมจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อหยุดยั้งสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อตัวผม แต่เพื่อครอบครัว เพื่อบริษัท และเพื่อแบรนด์ไทยนี้

Back to top button