
“กลุ่มรพ.” ชูศักยภาพแพทย์ไทย ดันสู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก
ดร.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์, ศ.นพ.สิทธิ์ สาธรสุเมธี และดร.ศุภชัย ปาจริยานนท์ ร่วมเวทีเสวนาในงาน Thailand Focus 2025 ชี้ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก ด้วยจุดแข็งด้านบุคลากรแพทย์และความเอื้ออารี พร้อมหนุนพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศ ลดการพึ่งพาต่างชาติ สร้าง S-Curve ใหม่ให้อุตสาหกรรมสุขภาพไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ในงาน Thailand Focus 2025 ได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “Health Tech and Advanced Therapeutic Medicine: Potential New S-Curves for Thailand’s Healthcare Industry” (เทคโนโลยีและการแพทย์ขั้นสูง: S-Curve ใหม่ของอุตสาหกรรมสุขภาพไทย)
โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ กรรมการบริหาร บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) , นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อร่วมตั้ง สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร (RISE) ,ศ.นพ. สิทธิ์ สาธรสุเมธี รองคณบดีฝ่ายวิจัยเเละนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้ดำเนินรายการ: นพ. นำ ตันธุวนิตย์ ที่ปรึกษาอาวุโส ด้านกลยุทธ์และธุรกรรมสุขภาพ บริษัท อีวาย คอร์ปอเรท เซอร์วิสเซส จํากัด
สำหรับ นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ กรรมการบริหาร บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ระบุว่า จุดแข็งของอุตสาหกรรมสุขภาพไทยคือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมด้วยคุณสมบัติด้านความเอื้ออารีและการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการรักษาพยาบาลระดับโลก
ศ.นพ.สิทธิ์ สาธรสุเมธี รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ศิริราชตั้งเป้าเป็นสถาบันวิจัยติดอันดับ 1 ใน 100 ของโลกใน 5–10 ปี โดยมุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์ใหม่ ๆ เช่น AI ดิจิทัลเฮลท์ สเต็มเซลล์ และจีโนมิกส์ เพื่อยกระดับการวินิจฉัยและการรักษา
นพ.ก้องเกียรติ เสริมว่า ปัญหาที่ไทยเผชิญคือการต้องนำเข้าอุปกรณ์และยาจากต่างประเทศ ส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลสูง หากสามารถผลิตอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในประเทศได้ จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มการเข้าถึงการรักษา และสร้าง S-Curve ใหม่ให้อุตสาหกรรมสุขภาพไทย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ด้าน นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งสถาบัน RISE กล่าวว่า ความก้าวหน้าที่สำคัญของอุตสาหกรรมสุขภาพคือการลดเวลาในการวิจัยและพัฒนายา จากเดิม 5 ปีเหลือเพียง 1 ปี ทำให้เข้าสู่ขั้นตอนการทดลองเชิงคลินิกได้รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทสตาร์ทอัพไทยยังขาดทุนและการสนับสนุนที่เพียงพอ โดยเฉพาะด้านเงินทุนและขั้นตอนการอนุมัติที่ยุ่งยาก จึงเสนอให้รัฐบาลสร้าง Healthcare Sandbox เพื่อดึงดูดการลงทุน ถ่ายทอดองค์ความรู้ และย่นขั้นตอนการอนุญาต เช่น FDA และ อย.
ศ.นพ.สิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงความก้าวหน้าของศิริราช เช่น การใช้ AI เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคมากกว่า 90% และการสร้าง Mobile Stroke Unit รถพยาบาลที่ติดตั้ง CT Scan เพื่อลดเวลาในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองลงได้ถึง 50% รวมถึงการวิจัย CAR-T Cell สำหรับการรักษามะเร็งที่หากพัฒนาได้เองจะช่วยลดค่าใช้จ่ายมหาศาลต่อผู้ป่วย
ทั้งนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องมี National Health Sandbox และมาตรการสนับสนุนจากรัฐ เพื่อลดความซับซ้อนในการจดสิทธิบัตรและส่งเสริมสตาร์ทอัพด้านการแพทย์ ขณะเดียวกัน BDMS มองว่าตลาดอาเซียนซึ่งมีประชากร 100 ล้านคน เพียงพอต่อการดึงดูดการลงทุน โดยไทยมีจุดแข็งทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการตอบสนองเชิงนโยบายที่รวดเร็ว
นพ.ก้องเกียรติ ทิ้งท้ายว่า อุตสาหกรรมสุขภาพไทยจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยความร่วมมือแบบ ทีมไทยแลนด์ โดยไม่เน้นแข่งขัน แต่ร่วมมือเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งจะเป็นรากฐานสร้างสังคมสุขภาพดีทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก