
“บัวหลวง” เผย 2 ฉากทัศน์การเมือง หวั่นกระทบเบิกงบ-เศรษฐกิจปลายปี
“บัวหลวง” ประเมิน 2 ฉากทัศน์จัดตั้งรัฐบาล เสี่ยงกดดันการเบิกงบปี 69 ล่าช้า กระทบ GDP ขณะที่คงเป้า SET สิ้นปี 1,280 จุด แนะนำกลยุทธ์ลงทุนแบบ Selective เลือกหุ้น WHAUP-GPSC-BGRIM
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ระบุว่าผ่านบทวิเคราะห์ สถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน มีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งมีกรอบเวลาการบริหารงานที่จำกัดเพียงไม่เกิน 4 เดือน ด้วยเหตุนี้ แม้ว่า พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 69 จะมีโอกาสผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาได้ตามขั้นตอน
แต่ด้วยข้อจำกัดเชิงอำนาจและกรอบเวลาของรัฐบาลเปลี่ยนผ่านอาจทำให้การใช้งบประมาณใหม่เป็นไปอย่างจำกัด อีกทั้ง หากมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ก็อาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณมีแนวโน้มล่าช้าออกไป
ทั้งนี้ จากข้อมูลเชิงประจักษ์ในอดีต พบว่า ช่วงเวลาที่เกิดการเลือกตั้งทั่วไป มักส่งผลให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐลดลงเฉลี่ย 30-40% เมื่อเทียบกับภาวะปกติ ซึ่งความล่าช้าดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะกระทบต่อการเติบโตของ GDP
โดยเฉพาะในไตรมาส 4/68 และ ไตรมาส 1/69 ซึ่งอาจลดทอนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ราว 0.2% ดังนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า แม้งบประมาณปี 69 จะผ่านขั้นตอนตามกฎหมาย แต่หากไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองที่เพียงพอ ระบบงบประมาณอาจไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ขณะที่เบื้องต้นประเมิน 2 ฉากทัศน์หลัก ได้แก่
1.) พรรคภูมิใจไทย จับมือ พรรคประชาชน (โอกาส 60%) คาดเพื่อไทยมีโอกาสยุบสภาสูง ทำให้ต้องจัดเลือกตั้งภายในธ.ค. ปีนี้ (ต้องจัดเลือกตั้งภายใน 45-60 วันหลังยุบสภา) และ
2.) พรรคเพื่อไทย จับมือ พรรคประชาชน (โอกาส 40%) คาดรัฐบาลมีโอกาสทำงานราว 4 เดือน ก่อนยุบสภาปลายปี และเลือกตั้งภายในเดือนก.พ.
ส่วนผลกระทบต่อหุ้น หากจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว ตลาดอาจคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ และอาจเทียบกับช่วงก่อนการเลือกตั้งในอดีต จากสถิติการเลือกตั้ง 10 ครั้งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้นในช่วง 3 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่เรียกว่า Pre-election rally โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 3% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศ เช่น ธนาคาร ค้าปลีก การเงิน และอาหาร ซึ่งมักได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในเชิงความถี่ แม้จะพบว่าเกิด Pre-election rally ถึง 6 ครั้งจาก 10 การเลือกตั้งล่าสุด แต่ในช่วง 5 ครั้งหลังกลับเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น โดยมักจะเกิดในบริบทที่การเมืองมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างชัดเจน สะท้อนว่าการเกิด rally ดังกล่าวขึ้นอยู่กับระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อทั้งภาพเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางการเมือง
สำหรับการเลือกตั้งรอบนี้ โอกาสที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วง Pre-election rally ดูจะจำกัด เนื่องจากยังเผชิญปัจจัยความไม่แน่นอนหลายด้าน ทั้งในมิติกฎหมายที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของผู้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองหลักหลายพรรค และความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ประเทศอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลเสียงข้างน้อยในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวม
ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงเป้าหมาย SET Index สิ้นปีไว้ที่ 1,280 จุด กลยุทธ์การลงทุนจึงเน้น selective ในหุ้นที่มีความชัดเจนด้านปัจจัยพื้นฐานและมีลักษณะ defensive growth อาทิ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ที่เริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ Data Center ในนิคมอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2568 ต่อเนื่องถึงปีหน้า
ขณะเดียวกัน ยังมีจุดเด่นด้านมูลค่าที่น่าสนใจ โดยมีค่า PER ปี 68 ราว 12.5 เท่า เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่ 23 เท่า และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ที่ 19 เท่า พร้อมให้ Dividend Yield ถึงราว 6%