“เพื่อไทย” ดิ้นต่อ! ยื่นศาลวินิจฉัยสมาชิกภาพ “อนุทิน-ณัฐพงษ์” MOA เลือกนายกส่อขัดกฎหมาย

สส.พรรคเพื่อไทยเดินหน้ายื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยื่นศาลวินิจฉัยสมาชิกภาพ “อนุทิน-ณัฐพงษ์” หลังเห็นว่าการจัดทำข้อตกลงร่วมกัน (MOA) ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน กรณีการเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจขัดต่อกฎหมาย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายชลน่าน ศรีแก้ว สส.พรรคเพื่อไทย ระบุว่า สส.ของพรรคเพื่อไทย ได้เข้าชื่อเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยความชอบธรรมด้วยกฎหมายของการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 กันยายน 2568 ว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีการจัดทำข้อตกลงร่วมกัน (MOA) ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน กรณีการเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น

ล่าสุดวันนี้ (7 กันยายน 2568) ได้มีการเผยแพร่หนังสือที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสภาฯ ได้เข้ายื่นคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยให้สมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ประทับตรารับหนังสือเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 เวลา 11.38 น.

โดยคำร้องระบุว่า พรรคภูมิใจไทยสามารถรวบรวมเสียง ส.ส. ได้เพียง 146 เสียง จากทั้งหมด 492 เสียง จึงได้ทำข้อตกลงร่วมกับพรรคประชาชน โดยให้ ส.ส. พรรคประชาชนลงมติสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเงื่อนไขว่าพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาล พร้อมกำหนดข้อผูกพันให้รัฐบาลใหม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พรรคประชาชนวางไว้ เช่น ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน และห้ามจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก

ผู้ร้องเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป.พรรคการเมือง เนื่องจากถือเป็นการใช้อำนาจโดยอยู่ภายใต้การครอบงำของพรรคประชาชน ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขาดความเป็นอิสระ ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 และ มาตรา 164 อีกทั้งเข้าข่ายเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อให้บุคคลได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (7) และมาตรา 185 (1) และ (2) เพื่อรักษาความถูกต้องตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

Back to top button