ONSENS ลุ้นเหนือจองวันแรก! โบรกเคาะเป้าสูงสุด 3.40 บาท คาดกำไรโตเฉลี่ย 19% ต่อปี

ONSENS ลงสนามเทรดวันแรกเหนือจอง คาดกำไรสุทธิจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 19% ในช่วง 4 ปีข้างหน้า พร้อมให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 2.85-3.40 บาทต่อหุ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ต.ค. 68) หลักทรัพย์ของ บริษัท ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ONSENS ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ภายใต้กลุ่มบริการ การท่องเที่ยวและสันทนาการ

สำหรับ ONSENS มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 80 ล้านหุ้น โดยเสนอขายให้แก่บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์และนักลงทุนสถาบัน ผู้มีอุปการคุณของบริษัท พนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย และบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับบริษัท ระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 1 ตุลาคม 2568 ในราคาหุ้นละ 2.05 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 164 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 615 ล้านบาท

ด้านราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 29.21 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.07 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

ทั้งนี้ บริษัทมีผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1.) กลุ่มนายสมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ถือหุ้น 23.05% 2.) นายไตรรัตน์ ธนารุ่งโรจน์ ถือหุ้น 13.43% และ 3.) นายวรเวช ไตรกิศยเวช ถือหุ้น 10.72% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อประโยชน์ของกิจการและผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

ONSENS ประกอบธุรกิจให้บริการออนเซ็นและสปาเพื่อสุขภาพ ภายใต้ 2 แบรนด์ ได้แก่ “ยูโนะโมริ ออนเซ็น แอนด์ สปา” (Yunomori) และ “คลาย สปา” (KLAI) โดยแบรนด์ Yunomori ถือเป็นผู้ให้บริการออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นแห่งแรกของประเทศไทย มีความโดดเด่นด้วยประเภทบ่อออนเซ็นที่มีความหลากหลาย ภายใต้มาตรฐานการบริหารจัดการด้านความสะอาดและระบบการหมุนเวียนน้ำที่มีประสิทธิภาพ และให้บริการโดยพนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมด้านเทคนิคและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ปัจจุบันมีทั้งหมด 4 สาขา แบ่งเป็น ในประเทศไทย 3 สาขา ได้แก่ สุขุมวิท 26, สาทร 10 และพัทยา และในประเทศสิงคโปร์ 1 สาขา สำหรับแบรนด์ KLAI มุ่งเน้นให้บริการนวดเพื่อสุขภาพด้วยศาสตร์การนวดแผนไทยโบราณ เปิดให้บริการสาขาแรกซึ่งเป็นสาขา Flagship Store ที่เยาวราชเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

นายสมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ONSENS เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หุ้น ONSENS จะได้เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเชื่อมั่นว่าจะสนับสนุนให้ ONSENS ก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจ Wellness & Spa แบบครบวงจร (Holistic Wellness) เพื่อรองรับเมกะเทรนด์ด้านการดูแลสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากกระแสผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณภาพชีวิตมากขึ้น การระดมทุนในครั้งนี้ จึงเป็นการเสริมความแข็งแรงด้านเงินทุนให้บริษัท ใช้สำหรับลงทุนในโครงการ Social Wellness Space สาขาทองหล่อ ประกอบด้วยพื้นที่สำหรับให้บริการออนเซ็นและสปาและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ส่วนที่เหลือจะใช้เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมกับสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 19% ในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยคาดกำไรสุทธิในปี 2569 อยู่ที่ 42 ล้านบาท และในปี 2570 อยู่ที่ 46 ล้านบาท ถัดมาในปี 25671 อยู่ที่ 66 ล้านบาท

ทั้งนี้ มูลค่าเหมาะสมของ ONSENS ประเมินอยู่ที่ราคา 2.90 บาท แบ่งเป็นมูลค่าธุรกิจหลักของ ONSENS ที่ 2.84 บาท ด้วยวิธี DCF และมูลค่าของ JV ที่ 0.06 บาท ด้วยวิธี PER ที่ 10 เท่า คิดเป็นค่า PER ของกำไรในปี 2026 ที่ระดับ 20 เท่า

โดย BYD ระบุว่า การเติบโตเฉลี่ย 4 ปีที่ระดับ 19% CAGR มาจากการขยายแบรนด์และสาขาใหม่ รวมถึงการลงทุนในโครงการ Social Wellness Hotel and Spa ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

บริษัทหลักทรัพย์ กรุง ไทย เอ็กซ์ สปริง จำกัด หรือ KTX ประเมินว่า กำไรสุทธิของบริษัทจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 12.7% ระหว่างปี 2567-2570 ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 1.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีแรงหนุนหลักจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) การได้รับประโยชน์จากขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น และแผนการขยายสาขาของร้านนวด “พัก” อย่างต่อเนื่อง โดยประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 2.85 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) ประเมินว่า บริษัทจะมีรายได้ในปี 2568 ราว 280 ล้านบาท ลดลง 3% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน ลดลง 2.8% จากปีก่อน (อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 บริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจ Yunomori Onsen ทั้ง 4 สาขา ธุรกิจสปา KLAI 1 สาขา และสปาแบรนด์ใหม่อีก 1 สาขา ซึ่งเป็นสปาราคาจับต้องได้ เน้นการขยายในห้างสรรพสินค้า โดยมีแผนเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน 2568 ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอ่อนตัวลงจาก 45% เหลือ 42% เนื่องจากธุรกิจสปามีมาร์จิ้นต่ำกว่าธุรกิจออนเซ็น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 69 ล้านบาท เป็น 72 ล้านบาท ตามการขยายทีมงาน โดยรวมคาดว่ากำไรสุทธิปี 2568 จะอยู่ที่ 26 ล้านบาท ลดลง 17% จากปีก่อน

สำหรับปี 2569 คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวตามการฟื้นของภาคท่องเที่ยว โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน สู่ระดับ 36 ล้านคน พร้อมแรงหนุนจากการเปิดสาขาสปาแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก 2 สาขา รวมเป็น 3 สาขา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจาก 42% เป็น 43% และคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 55% อยู่ที่ 43 ล้านบาท ทั้งนี้ ประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.00 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSS ประเมินว่า รายได้และกำไรสุทธิของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% และ 20% ตามลำดับ (CAGR) ในช่วงปี 2568–2571 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม และการเปิดดำเนินงานของโครงการ Social Wellness Hotel and Spa ซึ่งคาดว่าจะเริ่มให้บริการในปี 2570 ทั้งนี้ ประเมินราคาเป้าหมายที่ 3.20 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่าบริษัท ONSENS จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจนตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2568 และต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569–2570 โดยประเมินว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ยปีละ ราว 40% (CAGR) ตามการฟื้นตัวของรายได้และประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน

ทั้งนี้ คาดว่ารายได้ปี (2568-2570) จะเติบโตเฉลี่ย 18% ต่อปี (CAGR) จากการขยายฐานลูกค้า การปรับเพิ่มอัตราค่าบริการของ Yunomori และ KLAI รวมถึงการเปิดสาขาเพิ่มของแบรนด์ใหม่ PAK

นอกจากนี้ โครงการ Social Wellness Hotel and Spa MB4 หล่อ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2570 จะเป็นอีกแรงหนุนสำคัญ โดยจะช่วยเพิ่มรายได้ราว 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนรายได้คิดเป็นประมาณ 14% ของรายได้รวมในปีแรก ขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป หลังเริ่มรับรู้ผลประกอบการเต็มปีจากโครงการโรงแรม โดยประเมินราคาเป้าหมาย 3.40 บาท

Back to top button