SET เดือนก.ย. ฟื้นตัว 3% รับรายย่อยเทรดคึก พ่วงหุ้นปันผลหนุน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย SET Index เดือนกันยายนฟื้นตัว 3% รับแรงซื้อจากรายย่อยกลับมา พร้อมกับหุ้นปันผลหนุนตลาด นักลงทุนเริ่มเชื่อมั่นทิศทางเศรษฐกิจไทย


ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมตลาดทุนไทยว่า ในเดือนกันยายน 2568 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 3% ปิดที่ระดับ 1,274.17 จุด ใกล้ระดับจิตวิทยา 1,300 จุด โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 43,000 ล้านบาท จากระดับเฉลี่ย 41,856 ล้านบาทในครึ่งปีแรก แม้ยังต่ำกว่าปีก่อน แต่ถือว่าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มฟื้นตัว

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง แต่ปริมาณการขายลดลง ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและสถาบันในประเทศกลับมาซื้อสุทธิ โดยสัดส่วนการซื้อขายของรายย่อยเพิ่มจาก 33% ในเดือนสิงหาคม เป็น 37% ในเดือนกันยายน แสดงให้เห็นถึงความคึกคักและความเชื่อมั่นที่ค่อย ๆ กลับคืนสู่ตลาดอย่างชัดเจน

โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่มีวงเงินกว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและเพิ่มการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ พร้อมทั้งนโยบายด้านพลังงานและการค้าระหว่างประเทศที่มีความชัดเจนขึ้น เช่น การเจรจาความตกลงทางการค้า (FTA) และโครงการด้านพลังงานที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้จะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพมากขึ้นและเป็นฐานสำคัญต่อการเติบโตของตลาดทุนในระยะยาว

ส่วนประเด็น “การชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ” มองว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เคยเกิดขึ้นเกือบ 10 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 1980 โดยมีระยะเวลาสูงสุดราว 35 วัน หรือเฉลี่ยประมาณ 2 สัปดาห์ต่อครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อรัฐบาลสามารถบรรลุข้อตกลงกับสภาคองเกรสได้ ตลาดก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติทันที จึงคาดว่าครั้งนี้จะไม่กระทบต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกัน

ขณะที่ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ ปัจจุบันความต้องการซื้อของนักลงทุนยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากนักลงทุนรายย่อยที่เริ่มมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น เห็นได้จากตราสารหนี้ที่ออกใหม่ในช่วงที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง แม้ยังเร็วเกินไปจะสรุปว่ากระแสนี้จะยั่งยืน แต่ถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยที่เริ่มกลับมา

นอกจากนี้ การไหลออกของเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่เคยกดดันตลาดในช่วงก่อนหน้าเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากการติดตามข้อมูลพบว่าแรงขายของ LTF เริ่มแผ่วลงตั้งแต่เดือนมิถุนายน และในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคมเริ่มกลับมามีแรงซื้อสุทธิ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ค่อย ๆ ฟื้นกลับมาในตลาดทุนไทย

สำหรับหุ้นที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูง (Dividend Stock) ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติ เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนไทยมีนโยบายการจ่ายปันผลที่ชัดเจนและอยู่ในระดับสูงขึ้น โดยในรอบปีที่ผ่านมา การจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นราว 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้ หากรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น (Total Return Index) จะพบว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสะสมในระยะยาวอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งกว่าที่นักลงทุนบางส่วนรับรู้

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และการเงินยังเป็นกลุ่มหลักที่ขับเคลื่อนดัชนีในเดือนกันยายน โดยได้รับอานิสงส์จากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวและกระแสการลงทุนในเทคโนโลยี AI และชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่ขยายตัวในหลายประเทศ ซึ่งช่วยให้หุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดไทยและต่างประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อมองภาพรวมตั้งแต่ต้นปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังติดลบประมาณ 9% แต่เริ่มเห็นแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนในช่วงไตรมาสสาม โดยเฉพาะเดือนกันยายนที่พลิกกลับมาบวก 3% และมีแนวโน้มขยับเพิ่มต่อเนื่องในเดือนตุลาคม

สำหรับปัจจัยต่างประเทศ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกหันมาให้น้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ รวมถึงตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่เริ่มได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ซึ่งในระยะต่อไป หากประเทศไทยสามารถสร้าง “Investment Story” ที่ชัดเจนและมีข้อมูลพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแรง ก็มีโอกาสที่เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) จะกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

“เราคงไม่ควรใช้ Fund Flow เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของตลาดทุน แต่ควรดูจากศักยภาพการสร้างผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นตัวสะท้อนจริงของเศรษฐกิจไทย หากรายได้และกำไรเติบโตอย่างยั่งยืน นักลงทุนย่อมกลับมาเอง” ดร.ศรพล กล่าว

พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังได้ร่วมกับสมาคมตลาดหลักทรัพย์อาเซียน (ASEAN Exchanges) จัดโรดโชว์ที่ฮ่องกง เพื่อพบปะนักลงทุนสถาบันและผู้จัดการกองทุนระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างตลาด กฎเกณฑ์ และศักยภาพการลงทุนในไทย พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการพัฒนาตลาดทุนอาเซียนร่วมกัน ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์เชิงบวกต่อประเทศไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ

”ตลาดหุ้นไทยวันนี้เริ่มกลับมามีสีสันมากขึ้น มีปัจจัยหนุนทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว ขณะที่บริษัทจดทะเบียนเองก็มีผลประกอบการและนโยบายปันผลที่ดีขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดมีเสถียรภาพและน่าสนใจมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี” ดร.ศรพล กล่าว

Back to top button