TOP เด้ง 4% โบรกอัพเป้า 37.25 บ. หลัง Q3 พลิกกำไร 2.1 พันลบ. รับค่ากลั่น-ธุรกิจน้ำมันฟื้น

TOP เด้ง 4% หลังโบรกอัพราคาเป้าใหม่เป็น 37.25 บาท หลังรายงานงบ Q3/68 พลิกกำไร 2.1 พันล้านบาท จากแนวโน้มค่ากลั่นและธุรกิจน้ำมันฟื้นตัวต่อเนื่อง พร้อมประเมินงบ Q4/68 ยังสดใส รับกำลังผลิตพุ่งและฤดูกาลท่องเที่ยวไฮซีซั่น หนุนโมเมนตัมธุรกิจและความเชื่อมั่นนักลงทุน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 พ.ย. 68) ราคาหุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ณ เวลา 10:30 น. อยู่ที่ระดับ 36.00 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 4.35% สูงสุดที่ระดับ 36.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 34.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 152 ล้านบาท

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP  เปิดเผยว่า ผลประกอบการบริษัทไตรมาส 3/2568 มีกำไรสุทธิ 2,147 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2567 มีรายได้จากการขาย 80,049 ล้านบาท ลดลง 29,969 ล้านบาท เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่งวด 9 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 12,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,934 ล้านบาท เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน และมีรายได้จากการขาย 285,405 ล้านบาท ลดลง 58,490 ล้านบาท เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยไตรมาส 3/2568 ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลกลุ่มไทยออยล์มีกําไรจากสต๊อกน้ำมัน 1,508 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,380 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2567 ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 7.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจากไตรมาส 3/2567 ส่งผลให้มี EBITDA เพิ่มขึ้น 8,165 ล้านบาท รวมทั้งในไตรมาส 3/2568 มีการบันทึกกําไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้เพิ่มขึ้น 1,372 ล้านบาท

ส่วนรายได้ไตรมาส 3/2568 ที่ปรับลดลง เป็นเพราะการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) สำหรับหน่วยกลั่นน้ำมันที่ 3 และหน่วยอื่น ๆ ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้กำลังการผลิตลดลง และราคาขายผลิตภัณฑ์บางส่วนที่อ่อนตัว แต่ได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปรับขึ้นตามภาวะอุปทานตึงตัวจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล รวมถึงสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่กับรัสเซีย ส่งผลให้ไทยออยล์มีกําไรจากสต๊อกน้ำมัน

โดยช่วงดังกล่าวกลุ่มไทยออยล์ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 5.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจาก 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าการกลั่นปรับลดลงตามส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันเตาเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลง อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นทำให้ไทยออยล์ รับรู้กำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1,508 ล้านบาท หรือ 2.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กำไรขั้นต้นรวมผลกระทบจากสต๊อกเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงิน 1,372 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดหนี้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงทางการเงินระยะยาว

ขณะที่ภาพรวมไตรมาส 4/2568 ไทยออยล์มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการกลับมาเดินเครื่องกลั่นเต็มกำลัง และค่าการกลั่นที่ทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มตึงตัว การบริหารความเสี่ยงและฐานะการเงินที่ดีขึ้นจะช่วยให้ไทยออยล์มีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2569 ส่วนแผนการลงทุนในอนาคต ไทยออยล์และบริษัทในกลุ่มมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคตที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ปี 2568-2572 จำนวน 1,736 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นโครงการพลังงานสะอาด (CFP) 1,538 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการอื่น ๆ ของบริษัทที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 198 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ได้ปรับคำแนะนำหุ้น TOP ขึ้นเป็น “ซื้อ” พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2569 เป็น 37.25 บาท ปรับจาก 32.00 บาท ​สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงาน กำไรไตรมาส 3/2568 ดีกว่าคาด ดีกว่าที่ KSS และตลาดคาดการณ์ไว้ประมาณ 8% และ 4% ตามลำดับ โดยกำไรปกติจะฟื้นตัวเมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อน  เนื่องจากไม่มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (stock loss) เป็นปัจจัยกดดันหลัก

​แนวโน้มไตรมาส 4/2568 ฟื้นตัวโดดเด่น คาดว่ากำไรปกติไตรมาส 4/2568 จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและโดดเด่นกว่ากลุ่ม โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณการกลั่นเพิ่มขึ้น 39% จากไตรมาสก่อน หลังกลับมาดำเนินการเต็มที่จากการออกจากช่วงปิดซ่อมบำรุงใหญ่ รวมทั้งส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันดิบ (Market GIM) เพิ่มขึ้น 92% จากไตรมาสก่อน ได้รับผลบวกจากอุปทาน (Supply) น้ำมันที่ตึงตัวในตลาดโลก

​ปัจจัยสนับสนุนระยะยาว กำไรเติบโตต่อเนื่องปี 2569 จากกรณีที่บริษัทไม่มีแผนการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในปี 2569 จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการเติบโตของผลการดำเนินงาน ยังมีโอกาสที่จะเห็นการปรับเพิ่มประมาณการ หากต้นทุนส่วนเพิ่มของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน

รวมไปถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย หรือ KS ระบุว่า บริษัท ไทยออยล์ (TOP) มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 จำนวน 2.1 พันล้านบาท (EPS 0.96 บาท) พลิกจากขาดทุน 4.2 พันล้านบาทปีก่อน แต่ลดลง 67% จากไตรมาสก่อน สอดคล้องกับคาดการณ์ กำไรลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากการปิดซ่อมโรงกลั่นและโรงงานในเครือ 30-45 วัน และไม่มีรายการพิเศษจาก CAP

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากกำไรพิเศษซื้อคืนพันธบัตร 1.3 พันล้านบาท และกำไรสต๊อกน้ำมัน 1.6 พันล้านบาท ค่าการกลั่นเฉลี่ย (Market GRM) อยู่ที่ 3.5 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล โดยคาดกำไร Q4/2568 ทรงตัว แม้เสี่ยงขาดทุนสต๊อก 60-70 ล้านดอลลาร์ฯ และไม่มีรายการพิเศษ แต่ได้แรงหนุนจากการเดินเครื่องเต็มที่ คาดเพิ่มกำไร 45 ล้านดอลลาร์ฯ และค่าการกลั่นฟื้นสู่ 6-7 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล เพิ่มรายได้อีกราว 80 ล้านดอลลาร์ฯ โดยกำไร 9 เดือนแรกปี 2568 ราว 12,100 ล้านบาท คิดเป็น 81% ของประมาณการทั้งปี 14,900 ล้านบาท และมองความเสี่ยงปรับลดประมาณการปีนี้ “จำกัด” คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น TOP ให้ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท

Back to top button