
MINT ศึกษาตั้งกองรีท-เตรียมสปินออฟ “ไมเนอร์ฟู้ด” หวังลดหนี้ โบรกชี้ Q4 กำไรโต 20%
MINT ซุ่มศึกษาตั้งกองรีทลงทุนโรงแรมและสปินออฟ “ไมเนอร์ฟู้ด” เข้าตลาดหุ้น เพื่อลดหนี้ เพิ่มผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น มั่นใจไตรมาส 4/68 กำไรโต 15-20%
นางสาวริรินดา ตังทัตสวัสดิ์ รองประธานฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการสร้างมูลค่าเชิงกลยุทธ์ที่มีศักยภาพ โดยมีการศึกษาใน 2 เรื่อง คือ 1. Hospitality REIT หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการของกลุ่มธุรกิจโรงแรม และ 2. การศึกษาแยกบริษัทไมเนอร์ ฟู้ด (Minor Food) เพื่อระดมทุนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยวัตถุประสงค์หลักที่บริษัทได้ศึกษาใน 2 เรื่องนี้ดังกล่าว เพื่อจะปลดล็อกคุณค่าของบริษัท ซึ่งจะทำให้ตลาดสามารถมองมูลค่าของแต่ละกลุ่มธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแต่ละกลุ่มธุรกิจ รวมถึงงบดุล (Balance Sheet) โดยเงินที่ได้นั้น มีแผนจะนำมาจ่ายชำระหนี้ และมองในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าให้กับนักลงทุน เช่น การซื้อหุ้นคืน (Share buy-back) หรือการจ่ายปันผล (Dividend) เป็นต้น ซึ่งโดยสรุปการศึกษาทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวของ MINT จะเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินและเพิ่มผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นด้วย
นอกจากนี้ นางสาวริรินดา กล่าวต่อว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 ในส่วนของธุรกิจโรงแรม จะเห็นการเติบโตของรายได้ต่อห้องพัก (RevPAR) ของโรงแรมในยุโรป อยู่ในอัตราตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ (Low to Mid Single Digit Growth) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ RevPAR ของโรงแรมในประเทศไทย จะเติบโตในอัตราตัวเลขหลักเดียวระดับสูง (Mid to High Single-Digit Growth) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับปรุงโรงแรมในช่วงที่ผ่านมา ส่วน RevPAR ของโรงแรมในมัลดีฟส์ การเติบโตอยู่ในอัตราตัวเลขสองหลัก (Double-Digit Growth)
ขณะที่ในปี 2569 หากดูจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว (Tourist Spending) ของตลาดการท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่มยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี เช่น ในยุโรป คาดการณ์ของอุตสาหกรรมจะเติบโตในอัตราตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง และในเอเชียแปซิฟิก จะเห็นการเติบโตที่สูงกว่ายุโรป ซึ่งจะมีการเติบโตในอัตราตัวเลขหลักเดียวระดับสูง อย่างไรก็ตาม MINT จะได้รับอานิสงส์เต็ม ๆ หากมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศไทย เนื่องจากลูกค้าในกลุ่มคนไทยของ MINT มีสัดส่วนติด Top 4 ของโรงแรมที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
ส่วนธุรกิจร้านอาหาร ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเซนติเมนต์และกำลังการใช้จ่ายอาจจะยังไม่ฟื้นตัวที่ชัดเจน แต่ MINT ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์ ทั้งการคิดค้นพัฒนาเมนูใหม่ ๆ รวมถึงการออกเมนูภายใต้แนวคิด “Value of Offering” เพื่อสร้างความแตกต่างและความแปลกใหม่ให้กับตลาด การเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 ยังคงเห็นเป็นบวกเล็กน้อย ส่วนอีก 2 เดือนยังคงต้องติดตามต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทคงเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2568-2570) รายได้รวมจะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง (High single digit) ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานจะเติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ซึ่งการเติบโตดังกล่าวจะมาจากการขยายธุรกิจภายใต้โมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) หรือเป็นการเข้ารับบริหารโรงแรมให้กับเจ้าของโรงแรมเป็นหลัก โดยบริษัทมีนโยบายรักษาอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน (ROIC) มากกว่า 12%
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น MINT กำหนดราคาเหมาะสม 33.88 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมหลังประกาศผลประกอบการ ซึ่งผู้บริหารระบุว่า MINT คงเป้าระดับอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของรายได้ระดับหลักเดียวสูง และ CAGR ของกำไรปกติที่ 15-20% ในช่วงปี 2569-2571
ทั้งนี้ MINT จะยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในรูปแบบการลดการถือครองสินทรัพย์ (Asset-light) ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้จากค่าบริหารจัดการโรงแรม นอกจากนี้ MINT คาดว่าจะลดต้นทุนทางการเงินผ่านการเร่งชำระหนี้และเพิ่มประสิทธิภาพการหมุนเวียนเงินทุนผ่านการหมุนเวียนสินทรัพย์และกองทรัสต์ ผู้บริหารคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิ (Net IBD/E Ratio) จะลดลงจาก 0.9 เท่าในไตรมาส 3/2568 เหลือราว 0.8 เท่า ภายในสิ้นปี 2568
ขณะที่ MINT มีแผนจะนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียน IPO ในปี 2569 เพื่อปลดล็อกมูลค่าแท้จริง (Intrinsic value) ของบริษัทโฮลดิ้งและเพิ่มการประเมินมูลค่าให้สูงขึ้น คาดว่ารายได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ของทั้งกองทรัสต์โรงแรมและธุรกิจอาหารจะถูกนำไปใช้ชำระหนี้ ขณะเดียวกัน MINT กำลังพิจารณาโครงการซื้อหุ้นคืนและการจ่ายเงินปันผลพิเศษ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น
สำหรับการขยายธุรกิจโรงแรมในรูปแบบ Asset-light MINT ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนโรงแรมรวมจากประมาณ 630 แห่ง ในปี 2568 เป็น 850 แห่ง ในปี 2571 โดยมุ่งขยายสาขาในเอเชียและตะวันออกกลาง-แอฟริกา ซึ่งสัดส่วนโรงแรมคาดว่าจะเพิ่มจาก 15% และ 10% ในปี 2568 เป็น 22% และ 16% ในปี 2571 ตามลำดับ โดยอสังหาริมทรัพย์ใหม่ส่วนใหญ่จะดำเนินตามรูปแบบการลงทุนแบบ Asset-light ในกลุ่มระดับหรูและพรีเมียม MINT จะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจแบบ Asset-light ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งต้องใช้ค่าใช้จ่ายการลงทุน (CAPEX) ต่ำกว่าการขยายแบบ Asset-heavy มาก และยังให้อัตรากำไรสูงกว่า