
BTG ปรับทัพธุรกิจรับปี 69 ชู 3 กลุ่มหลัก หนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
BTG กางแผนปี 69 ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เน้น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ครอบคลุมทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ เสริมความสามารถแข่งขันและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ควบคู่เป้าหมายความยั่งยืนระยะยาว
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญเพื่อเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเพิ่มความคล่องตัวขององค์กรในระยะยาว โดยจัดทัพใหม่เน้น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รองรับยุทธศาสตร์การเติบโตเชิงกลยุทธ์ในปี 2569 พร้อมเร่งรุกขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการเดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน
โดยการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อตอบสนองโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต และเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจของเบทาโกร โดย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 1) กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและธุรกิจใหม่ (Animal Nutrition and New Ventures) 2) กลุ่มธุรกิจอาหารประเทศไทย (Thailand Food Business) และ 3) กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ (International Business)
ทั้งนี้ ทีมผู้บริหารชุดใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบกลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย นายชยธร แต้ไพสิฐพงษ์ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและธุรกิจใหม่ ดูแลรับผิดชอบการดำเนินธุรกิจต้นน้ำของเบทาโกร ครอบคลุมธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจเวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ ธุรกิจอุปกรณ์ฟาร์ม ธุรกิจบริการห้องปฏิบัติการตรวจทดสอบ ตลอดจนธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นธุรกิจที่วางแผนลงทุนในบริษัทสตาร์อัพด้านเทคโนโลยีและอาหาร
นายสมศักดิ์ บุญลาภ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มธุรกิจอาหารประเทศไทย ดูแลรับผิดชอบธุรกิจผลิตอาหาร การบริหารจัดการฟาร์มปศุสัตว์ การแปรรูปเนื้อสัตว์ รวมถึงการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในประเทศทุกช่องทาง ตั้งแต่ตลาดสดจนถึงร้านโมเดิร์นเทรด และร้านอาหารต่าง ๆ ส่วนธุรกิจต่างประเทศ มีนายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ ดูแลรับผิดชอบการเติบโตธุรกิจในประเทศลาว กัมพูชา สิงคโปร์ และการขยายตลาดใหม่ ๆ รวมถึงธุรกิจการส่งออกของเบทาโกรให้เติบโตตามแผนกลยุทธ์ที่กำหนด
โดยในปีหน้าเบทาโกรมีแผนรุกขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศอย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารในระดับภูมิภาค ภายหลังประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการบริษัท Eggriculture Foods Limited ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตไข่ไก่ครบวงจรรายใหญ่ในสิงคโปร์ และมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นายวสิษฐ กล่าวเสริมว่า “การจัดทัพใหม่ครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของผลประกอบการทางการเงินในระยะยาว โดยในงวดเก้าเดือนแรกของปี 2568 เบทาโกรสามารถทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมด้วยกำไรสุทธิ 5,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 281.5% จาก 1,483 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะเผชิญกับราคาหมูที่ลดลง เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศอย่างกะทันหันจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้โรงงานแปรรูปและโรงเชือดหมูต้องชะลอการผลิตชั่วคราว แต่บริษัทสามารถบริหารจัดการแรงงานมาทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้โดยไม่หยุดชะงัก และมองว่าในปีหน้าผลการดำเนินงานน่าจะยังคงมีแนวโน้มที่ดี ด้วยราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับไม่สูง ซึ่งเอื้อต่อการบริหารต้นทุน”
นอกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งแล้ว บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ด้วยการยกระดับการทำงานทั้งหมด โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับทุกภาคส่วนขององค์กร (Transformation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และแม่นยำ รวมถึงการทำงานที่ยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส และตรวจสอบได้จนได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากองค์กรชั้นนำ ผลสำเร็จที่ผ่านมาคือการยกระดับมาตรฐานโรงงานผลิตอาหารสัตว์เข้าสู่ Industry 4.0+ และการได้รับรางวัลผลการประเมินการกำกับกิจการระดับ 5 ดาว หรือดีเลิศ ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อนจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และรางวัล Highly Commended Sustainability Awards จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ยกย่องบริษัทจดทะเบียนที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

