KKPS แนะซื้อ GULF-BGRIM ชี้กำไรปี 69 โตเด่น รับปัจจัยบวกต้นทุนลด-แผน PDP หนุน

KKPS มองบวกกลุ่ม “สาธารณูปโภค” คาดแรงกดดันเศรษฐกิจคลี่คลายในปี 69 พร้อมประเมินกำไร GULF และ BGRIM จะเติบโต 11% และ 7% ตามลำดับ รับอานิสงส์ต้นทุนลด และแผนพีดีพีฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้น


บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS มีมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมกลุ่มสาธารณูปโภคของประเทศไทย และยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เนื่องจากคาดว่าแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 ส่งผลให้อัตรากำไรปรับตัวดีขึ้น และเปิดโอกาสต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะถัดไป

โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT) รวมของ 3 บริษัทหลักในกลุ่ม ได้แก่ GULF, BGRIM และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จะอยู่ที่ประมาณ 38,000 ล้านบาทในปี 2569 เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดย GULF จะเป็นหุ้นที่ขับเคลื่อนการเติบโตสูงสุดของกลุ่ม ด้วยกำไรสุทธิที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 สู่ระดับ 28,000 ล้านบาท ขณะที่ GPSC และ BGRIM จะมีการเติบโตของกำไรที่ร้อยละ 11 และร้อยละ 7 ตามลำดับ อีกทั้งในช่วงปี 2568 ถึง 2570 GULF ยังถูกคาดหมายว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในระดับสูงสุดของกลุ่มที่ร้อยละ 18

ขณะที่ปัจจุบันมูลค่ากลุ่มสาธารณูปโภคยังซื้อขายในระดับใกล้จุดต่ำสุดเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไรและราคาต่อมูลค่าตามบัญชีอยู่ที่ -1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นับตั้งแต่ปี 2555 สาเหตุสำคัญมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะเริ่มปรับลดลงในปี 2569 จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มูลค่าหุ้นในกลุ่มนี้ฟื้นตัวได้

อีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง โดยเฉพาะราคา pool gas ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี รวมถึงราคาก๊าซแอลเอ็นจีและราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง จะช่วยส่งเสริมให้อัตรากำไรจากการผลิตไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

KKPS ยังมองว่าการประกาศแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ หรือแผนพีดีพี ที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไป จะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยคาดว่าจะสะท้อนความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์และอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วของประเทศไทย แม้ในกรณีฐานอนุรักษ์นิยมที่สุด ประเทศไทยยังมีแนวโน้มต้องการกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมอีกราว 2.5 กิกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้ความต้องการโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิมกลับมาเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับโครงการโซลาร์ชุมชนที่ทยอยดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน

สำหรับประเด็นการเลือกตั้งในปี 2569 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ประเมินว่าอาจสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้นในระยะสั้น จากความเป็นไปได้ที่พรรคการเมืองอาจออกมาตรการลดค่าครองชีพ โดยเฉพาะการควบคุมหรือปรับลดค่าไฟฟ้า อย่างไรก็ดี จากสถิติในอดีต กลุ่มสาธารณูปโภคมักสามารถฟื้นตัวได้หลังผ่านพ้นช่วงการเลือกตั้ง จึงประเมินว่าผลกระทบดังกล่าวจะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น

Back to top button