TSE ลุย COD โรงไฟฟ้าต่อเนื่อง ลุ้นกำไรโตเฉลี่ย 30% ต่อปี

TSE โชว์กำไร Q4/59 โตแตะ 224 ล้านบาทเกินคาด โบรกฯ ชี้ อนาคตแจ่ม แนวโน้มกำไรเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี ในช่วงปี 60-62 หลัง COD โรงไฟฟ้าต่อเนื่อง


TSE โชว์กำไร Q4/59 โตแตะ 224 ล้านบาทเกินคาด โบรกฯ ชี้ อนาคตแจ่ม แนวโน้มกำไรเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี ในช่วงปี 60-62 หลัง COD โรงไฟฟ้าต่อเนื่อง

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของบริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE หลังจากเสร็จสิ้นการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4/59 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง TSE โชว์กำไรออกมาได้อย่างเหนือความคาดหมาย โดยไตรมาส 4/59 ปรับตัวขึ้นแตะ 224 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 86% จากปีก่อน และปรับตัวเพิ่มขึ้น 117% จากไตรมาสก่อน

สำหรับปีนี้บริษัทเตรียมรับรู้รายได้การจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบจากทั้ง 34 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 135MW ตั้งแต่ไตรมาส 1/60 เป็นต้นไป นอกจากนี้บริษัทยังประกาศร่วมทุนกับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC เข้าซื้อโซล่าร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 154.98MW มูลค่ารวม 1.97 หมื่นล้านบาทอีกด้วย

ด้านราคาหุ้นปิดตลาดล่าสุดวานนี้ (2 ก.พ.) อยู่ที่ 155 บาท ปรับตัวลง 2.50 บาท หรือ 1.59% มูลค่าการซื้อขาย 816.07 ล้านบาท โดยราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ที่ 6.85 บาท อยู่ 19.13%

 

โดย TSE เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ประเภทติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดกำลังการผลิต 154.98 เมกะวัตต์ ร่วมกับบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ผ่านการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุน โดยมีสัดส่วนการลงทุนระหว่างบริษัทและ STEC เท่ากับ 60 ต่อ 40 ของมูลค่าการลงทุนรวม โดยมูลค่าเงินลงทุนรวมในโครงการดังกล่าวประมาณ 6.12 หมื่นล้านเยนล้านเยน หรือคิดเป็นประมาณ 1.97 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ในปัจจุบัน บริษัทมีกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งสิ้น 34 โครงการ แบ่งเป็นภายในประเทศจานวน 25 โครงการ และต่างประเทศจานวน 9 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตเสนอขายรวมทั้งสิ้นจานวน 135 เมกะวัตต์ โดยแบ่งออกเป็นกำลังการผลิตเสนอขายภายในประเทศจานวน 98.5 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตเสนอขายต่างประเทศจานวน 36.5 เมกะวัตต์

 

ด้านนักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง แนะนำซื้อ TSE ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.85 บาท/หุ้น โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/59 ที่ 224 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 117% เทียบกับไตรมาสก่อนมากกว่าคาดราว 90% เนื่องจากบริษัทมีรายได้พิเศษจากการบริหารจัดการโครงการชีวมวลจำนวน 222 ล้านบาท ส่วนภาพรวมปี 59 บริษัทมีกำไร 618 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปี 2015 ที่มีกำไร 527 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 0.11 บาท/หุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิปันผลในวันที่ 26 เม.ย.60 และมีกำหนดจ่ายเงินในวันที่ 17 พ.ค.60

มองว่าบริษัทมีโครงการที่รองรับการเติบโตทั้งระยะกลางและระยะยาวที่น่าสนใจมากขึ้น คาดกำไรจะเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี ในช่วง 60-62 (CAGR) แม้ระยะสั้นภาพปี 60 กำไรจะดูแค่ทรงตัวที่ราว 509 ล้านบาท เพราะบริษัทยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่ที่จะเริ่มขายไฟฟ้าเพิ่มในปีนี้ ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะขายไฟฟ้าจากโซล่าร์ญี่ปุ่นโครงการขนาดเล็กราว 4MW เท่านั้น และมองว่าดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจะเข้ามาชดเชยผลบวกจากการขายไฟฟ้าในโครงการใหม่

สำหรับภาพระยะสั้นในไตรมาส 1/60 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนเพราะในไตรมาส 4/59 มีรายได้การจัดการด้านชีวมวลบันทึกครั้งเดียวเข้ามา แต่กำไรหลักคาดจะเติบโตได้เมื่อเทียบกับปีก่อนจากการขายไฟฟ้าโซช่าร์ญี่ปุ่นในช่วงครึ่งปีหลังปี 59 ที่ผ่านมาราว 5MW

ขณะที่ในระยะกลางปี 61 กำไรจะเติบโตสูงจากการเริ่มขายไฟฟ้าโครงการชีวมวล 3 โครงการ รวม 22.2MW คาดหนุนกำไรเพิ่มขึ้นปีละ 180-220 ล้านบาท อิงตามแผนงานของบริษัทที่จะ COD โครงการบางสวรรค์ กรีน กำลังการผลิต 4.6MW ในช่วงต้นปี 61 และต่อด้วยโครงการออสการ์ 1 ในช่วงไตรมาส 1/61 และ ออสการ์ 2  ในไตรมาส 2/61 โดยโรงไฟฟ้าโครงการออสการ์มีขนาดกำลังการผลิตโครงการละ 8.8MW ซึ่งประเมินว่าโครงการชีวมวลจะทำกำไรได้ราว 8-10 ล้านบาทต่อ MW ต่อปี และเป็นส่วนเพิ่มมูลค่า 0.85 บาท/หุ้น (อิง DCF)

ขณะที่ระยะยาวปี 62 เป็นต้นไป คาดกำไรจะเติบโตจากโครงการโซล่าร์ที่ญี่ปุ่นเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการเริ่มขายไฟฟ้าโครงการขนาดเล็กก่อนและหลังจากนั้นจะเริ่มขายไฟฟ้าโครงการขนาดใหญ่ขนาด 155MW ที่มีการประกาศการลงทุนออกมาก่อนหน้านี้ จากการประเมินเบื้องต้น มูลค่าของโครงการนี้ประมาณ 2.0-2.5 บาท/หุ้น (ยังไม่รวมในประมาณการ) จากกำไรที่เติบโตสูงนั้นจะส่งผลให้ P/E ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 20 เท่า ในปี 60 เหลือ 15 เท่าในปี 61 และเหลือ 12 เท่า ในปี 62

 

ส่วนนักวิเคราะห์ บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ โดยให้แนวต้าน TSE ที่ 6 บาท ในปี 59 บริษัทมีกำไรสูงถึง 617 ล้านบาท และในไตรมาส 4/59 มีกำไรไตรมาสเดียวเท่ากับ 224 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการจ่ายไฟฟ้าได้เต็มที่จากทั้งหมด 34 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 135 MW และในปี 60 บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกเป็นต้นไป

โดยล่าสุดประกาศความร่วมมือกับ STEC เข้าลงทุนโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นขนาด 154MW โดยบริษัทจะถือหุ้น 60 ถือเป็นงานใหญ่อันหนึ่งที่สร้างอนาคตอย่างมาก สำหรับแนวโน้มทางเทคนิคราคาหุ้นแม้จะปรับตัวลงมาตลอด 2 เดือน แต่ยังเป็นขาขึ้นเต็มตัว และตรงนี้คือแนวรับของเส้นขาขึ้นใหญ่ทางทฤษฏีแล้วให้เข้าสะสม

Back to top button