เปิด 16 รายชื่อหุ้น mai ผลงานแกร่ง! ไตรมาส 3/61 กำไรโตกระฉูดเกิน100%

เปิด 16 รายชื่อหุ้น mai ผลงานแกร่ง! ไตรมาส 3/61 กำไรโตกระฉูดเกิน100% นำโดย NDR,XO,BSM,TPCH,MBAX, CHEWA,RWI,DOD,BOL,CHO,SSP,PORT,UAC,CHAYO,MOONG และCIG


ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)รายงานงบการเงินไตรมาส 3/61 มาแล้วโดยบจ. มียอดขายรวม 43,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.01% ต้นทุนรวม 34,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.04% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น ลดลง 1.44% มาอยู่ที่ 20.43% ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,606 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.29% จากไตรมาส 3 ปีก่อนหน้า

ดังนั้นเพื่อให้นักลงทุนได้เห็นบริษัทที่มีกำไรโดดเด่นชัดเจนมากขึ้นทางทีมงาน”ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียนที่มีผลกำไรเติบโตโดดเด่นในไตรมาส 3/61 โดยคัดเลือกบริษัทที่มีกำไรเติบโตเกิน 100% โดยบริษัทที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีทั้งหมด  16 ตัว อย่างไรก็ตามครั้งนี้จะขอนำเสนอข้อมูลประกอบเพียง 5 อันดับของตารางดังนี้

อันดับ 1 บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR  รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรเพิ่มเป็น 13.76 ล้านบาท โตทะลัก 707.43% จากปีก่อนมีกำไร 1.70 ล้านบาท โดยกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องส่วนใหญ่มาจากการรุกตลาดทั้งในประเทศและตลาดในประเทศมาเลเซีย โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้น

ด้าน นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20%  จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 830 ล้านบาท หลังจากผลประกอบการ 9 เดือนแรกทำได้ดี โดยมีรายได้อยู่ที่ 728.89  ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/61 มีรายได้ 271.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 212.50 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการรุกตลาดทั้งในประเทศและตลาดในประเทศมาเลเซีย โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ผลการดำเนินงานมีกำไรสุทธิ จำนวน 13.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 640.98%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.86 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 343.87% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.10 ล้านบาท

นายชัยสิทธิ์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของบริษัทฯจะยังมีผลขาดทุนสุทธิ 2.22 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากค่าใช้จ่ายพิเศษในการเข้าซื้อกิจการในประเทศมาเลเซียในไตรมาส 1/61 แต่ผลกำไรในไตรมาส 3/61 ที่ผ่านมาก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าการเข้าซื้อกิจการที่ประเทศมาเลเซียเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทำให้บริษัทมีทั้งรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าผลประกอบการของบริษัทฯหลังจากนี้จะมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มพลิกกลับมาเป็นบวกได้

ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/61 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่  20.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 8.66% และอัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.07%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 0.87% เพราะจำนวนยอดขายที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้เกิดประสิทธิภาพเชิงปริมาณ (economy of scale)

 

อันดับ 2 บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรเพิ่มเป็น 67.55 ล้านบาท โตทะลัก 252.42% จากปีก่อนมีกำไร 19.17 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้า และอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึง การลดลงของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

ด้านนายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับประมาณการเป้าหมายรายได้รวมในปี 61 คาดว่าจะเติบโตมากกว่า 15% จากเป้าหมายในช่วงต้นปีที่วางไว้จะเติบโต 10-15% เมื่อเทียบกับปี 60 รายได้รวมอยู่ที่ 947.64 ล้านบาท กำไรสุทธิ 59.03 ล้านบาท

เนื่องจากภาพรวมธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นมาตั้งแต่ต้นปี สนับสนุนให้ผลงานไตรมาส 3/61 ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในแง่ของรายได้ ส่วนกำไรสุทธิงวด 9 เดือนทุบสถิติกำไรทั้งปีของบริษัทนับตั้งแต่ก่อตั้ง จากแผนการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง แล้วเสร็จ พร้อมขยายตลาดสินค้ากลุ่มซอสและน้ำจิ้ม รวมทั้งเครื่องแกงเครื่องประกอบอาหารไทย ซึ่งอยู่ในความสนใจและความต้องการในตลาดโลก

สำหรับโอกาสการเติบโตของผลประกอบการในไตรมาส 4/61 คาดว่าจะยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี  เนื่องจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาสนับสนุน ราคาต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทฯ ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยราคาน้ำตาลประเภทไซรัปสำหรับใช้ที่โรงงานใหม่ได้ต้นทุนที่ต่ำลงอีกประมาณ 15% เมื่อเทียบกับราคาน้ำตาลไซรัปในช่วงต้นไตรมาส 3/61 รวมทั้ง การปรับราคาขายสินค้าขึ้นในช่วงไตรมาส 3/61 เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนผลงานโค้งสุดท้ายของปีให้เติบโตโดดเด่นต่อเนื่องได้

 

อันดับ 3 บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรเพิ่มเป็น 7.12 ล้านบาท โตทะลัก 250.64% จากปีก่อนมีกำไร 2.03 ล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของยอดขายที่ขายสินค้าให้กับโครงการประเภทโรงแรม โรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง

ด้านนายสัญชัย เนื่องสิทธิ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า เนื่องจาก แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังคาดจะเติบโตกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากงานอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียมที่มีการฟื้นตัว ประกอบกับบริษัท ดีแอนด์ดับบลิว (เอเชีย) จำกัด (D&W) ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ โดยบริษัทยังมองว่าโครงการที่เปิดในทำเลใกล้รถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว และใกล้ที่จะเปิดให้บริการภายใน 1-2 ปีนี้เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อ และกำลังซื้อของคนในประเทศยังมีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับโครงการของบริษัทที่อยู่ใกล้ทำเลรถไฟฟ้า รวมทั้งยังมองว่าตลาดของชาวต่างชาติที่มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น

 

อันดับ 4 บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรเพิ่มเป็น 91.93 ล้านบาท โตทะลัก 250.61% จากปีก่อนมีกำไร 26.22 ล้านบาท เนื่องมาจากสามารถรับรู้รายได้ในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) ครบทั้ง 6 แห่งเต็มไตรมาส กำลังการผลิตรวม 60 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่บริษัท COD อยู่ที่ 50 เมกะวัตต์

ด้านนายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ารายได้และกำไรปีนี้มีโอกาสจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนเดินหน้าขยายการลงทุน โดยในปี 62 จะมีการ COD เพิ่มขึ้นอีกราว40  เมกะวัตต์ รวมถึงมองหาโอกาสขยายการลงทุนในต่างประเทศด้วย

 

อันดับ 5 บริษัท มัลติแบกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MBAX รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรเพิ่มเป็น 39.85 ล้านบาท โตทะลัก 207.69% จากปีก่อนมีกำไร 12.95 ล้านบาท โดยหลักๆมาจากการปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับประสิทธิภาพการผลิต และควบคุมวัตถุดิบรวมถึงของเสียได้ดีขึ้น

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ปีหน้าจะเป็นฐานการผลิตถุงซิปล็อคไปสหรัฐฯแทนจีน ปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อ แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส4/61 จะชะลอตัวตามฤดูกาลที่มีวันหยุดมาก แต่คาดว่าปี 2019 จะโตได้ต่อเนื่อง จากคำสั่งซื้อถุงซิปล็อคจากไทยของลูกค้าในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น

อีกทั้งยังเป็นไปได้ที่จะบริษัทในจีนที่เคยเป็นคู่แข่ง จะส่ง Order มาให้ MBAX หรือดำเนินการผลิตร่วมกันในลักษณะบริษัทร่วมเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าด้วย โดยสหรัฐฯถือเป็นประเทศที่ใช้ถุงซิปล็อคมากที่สุดในโลก และเป็นลูกค้ารายสำคัญของ MBAX ด้วยสัดส่วนราว 40% ของรายได้รวม ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2019 โดยอิง PE ที่ 14 เท่า (เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง) ได้เท่ากับ 5.60 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นจากถือเป็นซื้อ

 

ด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน mai จำนวน 148 บริษัท คิดเป็น 94% จากทั้งหมด 157 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกของปี 61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 พบว่า บจ. ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 104 บริษัท คิดเป็น 70% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด มียอดขายรวม 126,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.10% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ต้นทุนรวม 99,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.82% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 22.21% มาอยู่ที่ 21.04% อย่างไรก็ดี บจ. ยังคงมีกำไรสุทธิรวม 4,412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.66% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเติบโตจากปีก่อนหน้า แม้ว่า บจ.ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนการขายสูงขึ้น ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร อย่างไรก็ตาม บจ. สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมเติบโตขึ้น 51.66% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มทรัพยากร ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ประเทศไทยมีศักยภาพการแข่งขันสูง

เมื่อพิจารณาฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 261,799 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.45% จากสิ้นปี 60 ในขณะที่โครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.10 เท่า เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่แล้วเล็กน้อย

ในไตรมาส 3/61 บจ. มียอดขายรวม 43,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.01% ต้นทุนรวม 34,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.04% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น ลดลง 1.44% มาอยู่ที่ 20.43% ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,606 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.29% จากไตรมาส 3 ปีก่อนหน้า

ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 157 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ย.61) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 399.73 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 263,657 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,324 ล้านบาทต่อวัน

Back to top button