
“ฮุน มาเนต” ส่งสัญญาณถึงไทย เตรียมนำข้อพิพาท “ชายแดน” ขึ้นศาลโลก หวั่นความขัดแย้งปะทุซ้ำ
นายกฯ กัมพูชา ประกาศยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หวังยุติข้อพิพาทชายแดนกับไทย เลี่ยงปะทะซ้ำ ด้านโฆษกกองทัพบกไทย ชี้ควรใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ตามข้อตกลงเดิมก่อน ยืนยันยังไม่ละเมิดหลักปฏิบัติระหว่างประเทศ
สำนักข่าว Channel News Asia (CNA) รายงานวันที่ 2 มิถุนายน 2568 ว่า พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาและวุฒิสภากัมพูชา ระบุว่า กัมพูชาจะยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยกรณีข้อพิพาทชายแดนกับไทย โดยให้เหตุผลว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางทหารในอนาคต
“กัมพูชาหวังว่า ฝ่ายไทยจะเห็นด้วยในการนำประเด็นเหล่านี้เข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศร่วมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าด้วยอาวุธอีกครั้ง เนื่องจากความไม่แน่นอนของชายแดน” พล.อ.ฮุน มาเนต กล่าว
นายกฯ กัมพูชา กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ไทยจะไม่เห็นด้วย กัมพูชาก็ยังจะเดินหน้ายื่นคำร้องต่อ ICJ โดยชี้ว่า ความตึงเครียดในพื้นที่เกิดจากกลุ่มหัวรุนแรงขนาดเล็กในทั้งสองประเทศ ที่อาจปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งซ้ำอีก
สำหรับเหตุการณ์ปะทะล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เขตชายแดนรอยต่อระหว่างไทย กัมพูชา และ สปป.ลาว ซึ่งมีรายงานว่าทหารกัมพูชาหนึ่งนายเสียชีวิต
ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว Nation Group วันนี้ (2 มิ.ย.68) ว่า การยื่นเรื่องเข้าสู่ศาลโลกเป็นประเด็นคนละส่วนกับสถานการณ์ในพื้นที่ปัจจุบัน ซึ่งยังอยู่ระหว่างการจัดการในระดับทวิภาคี
“สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการตอนนี้ คือการอยู่ร่วมกันอย่างระมัดระวังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนที่ยังไม่มีข้อยุติว่าเป็นของฝ่ายใด” พล.ต.วินธัย กล่าว
โฆษก ทบ. ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเบื้องต้นให้ถอยกำลังออกจากจุดปะทะ และใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Committee: JBC) ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการตามสนธิสัญญาและ MOU ที่มีอยู่
ทั้งนี้ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกของไทย ได้หารือกับผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา และมีความเห็นร่วมกันใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1. ถอยกำลังออกจากพื้นที่จุดปะทะ 2. ใช้กลไก JBC แก้ปัญหา และ 3. ปฏิบัติตาม MOU อย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ
พล.ต.วินธัย ยังกล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา โพสต์ภาพถ่ายพื้นที่ชายแดน โดยระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้ศาลาตรีมุข ไม่ใช่จุดเกิดเหตุปะทะ และจากหลักฐานภาพถ่ายพบว่า เพิ่งมีการขุดคูเลต ไม่ใช่พื้นที่ที่มีการตั้งถิ่นฐานมานานหลายสิบปีตามที่กล่าวอ้าง
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงหลังประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ฝ่ายไทยว่า ไทย-กัมพูชา จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาชายแดนผ่าน 3 กลไกความร่วมมือ ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC), คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) โดยตั้งเป้าหมายให้มีการประชุม JBC โดยเร็วที่สุด
นายมาริษ ระบุว่า แม้เกิดเหตุปะทะที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อ 28 พฤษภาคม ซึ่งทำให้ไทยรู้สึกไม่สบายใจ แต่ทั้งสองฝ่าย ยังยืนยันจุดยืนใช้แนวทางสันติ หลีกเลี่ยงการปะทะ และร่วมมือผ่านช่องทางทางการทูต โดยได้มีการหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชาแล้ว 2 ครั้ง รวมถึงพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ระหว่างการเดินทางไปประชุมที่ญี่ปุ่น
ด้านนายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า การดำเนินการของไทยเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศและหลักการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม พร้อมเผยว่า JBC เป็นกลไกทางเทคนิคและกฎหมายที่ช่วยวางแนวเขตแดนในระยะกลางถึงยาว และขณะนี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการตกลงวันประชุม ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือไม่เกินสิ้นเดือนมิถุนายน โดยฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพ
สำหรับกรณีที่อดีตนายกฯ ฮุน เซน โพสต์ระบุว่า พื้นที่พิพาทเป็นของกัมพูชา ทางกระทรวงการต่างประทเศ ย้ำว่า โพสต์ไม่มีผลทางกฎหมาย และขอให้สื่อมวลชนระมัดระวังการนำเสนอข่าวที่อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พร้อมย้ำว่าไทยพร้อมเจรจาอย่างสันติ และจุดยืนของฝ่ายการทูตและกองทัพมีความสอดคล้องกัน
ทั้งนี้ ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา 6 แห่ง และจุดผ่อนปรนอีก 10 แห่ง ยังคงเปิดทำการตามปกติ ไม่มีการปิดด่านหรือจำกัดการเดินทางในระยะนี้