สมช. ไฟเขียวตั้ง คกก.เฉพาะกิจถกปมชายแดนไทย-กัมพูชา “รัฐบาล-กองทัพ” หนุนแนวทางเดียวกัน

สภาความมั่นคงฯ ย้ำ “อธิปไตย” คือหลักสูงสุด “รัฐบาล-กองทัพ” เป็นเนื้อเดียวกัน เดินหน้าใช้สันติวิธี- จำกัดวงความขัดแย้ง


วันนี้ (6 มิ.ย.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายเลขานุการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เปิดเผยผ่านเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ มีใจความโดยสรุปว่า การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2568 ที่ประชุมฯ ได้รับทราบพัฒนาการของสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมได้เตรียมพร้อมการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และการสื่อสารทำความเข้าใจกับสังคมและประชาชน รวมถึงนานาชาติ

เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ โดยให้จัดตั้ง คณะกรรมการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาความมั่นคง บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำหน้าที่ติดตาม ประสานงาน และเสนอแนะมาตรการเพิ่มเติม หากฝ่ายกัมพูชามีการยกระดับปัญหา

ในการนี้ มอบหมายให้กองทัพประสานการปฏิบัติ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ โดยให้ความสำคัญกับการปกป้องอธิปไตย และการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ

ทั้งนี้ จะดำเนินการโดยสอดคล้องกับแนวทางการเจรจาในคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee) หรือ JBC​​ ระหว่างไทย – กัมพูชา ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568

นอกจากนี้ ปรากฏการเผยแพร่ข่าวสารอันเป็นเท็จเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง จึงมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการติดตามในการพิสูจน์ทราบข่าว และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับ กระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานหลักในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมสภาความมั่งคงแห่งชาติ (สมช.) ที่มีวาระการหารือสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า การประชุมได้พูดคุยกันเรื่องมาตรการต่าง ๆ ที่จะพร้อมรับมือ และอย่างภาพที่ออกไป นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และฝ่ายกองทัพ ได้ไปหารือกับฝ่ายของกัมพูชา นำโดย พล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา มีการคุยกันทุกอย่าง “ตอนนี้ยังโอเคอยู่”

“ในส่วนของเราจริง ๆ แล้ว ทุกหน่วยทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นทางกองทัพเอง รัฐบาล เราปรึกษากันก่อนที่จะดำเนินการใด ๆ ตลอด แล้วก็อำนาจไหน หน้าที่ไหนเป็นของใคร เราก็คุยกันอย่างดี แล้วก็ทราบในหน้าที่ของตัวเองอย่างดี ตอนนี้สิ่งที่ต้องการก็คือความเป็นเอกภาพในการทำงานทั้งหมด ได้คุยกับทางกระทรวงดีอี ด้วยว่า ไม่อยากให้เกิดกระแสหรือการปลุกปั่นใด ๆ ที่เกิดขึ้นว่ารัฐบาลกับกองทัพนั้นมีปัญหากัน จริง ๆ ไม่มีปัญหาอะไรทิ้งสิ้นเลย ทำงาน สนับสนุนกันอย่างดีมาเสมอ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้นำรัฐบาลไทย ย้ำด้วยว่า “กองทัพก็สนับสนุนรัฐบาล รัฐบาลก็สนับสนุนกองทัพ แล้วก็มีอำนาจหน้าที่อะไรต่าง ๆ ก็เคลียร์กันให้หมดว่าถ้าถึงหน้างานตรงนี้กองทัพสามารถตัดสินใจอย่างนี้ได้เลยหรืออะไร ก็คือเคลียร์กันในเนื้องานทั้งหมดแล้ว”

ส่วนในเรื่องของการเจรจา นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ในการพูดคุยอาจไม่ได้ลงรายละเอียดทั้งหมด แต่เกิดความเข้าใจกัน ในกรอบของความเข้าใจและยังไม่ได้มีความรุนแรงที่ขยายยิ่งขึ้น

“ทางกองทัพเองก็ยืนยันในส่วนของการลิมิตความรุนแรง.. เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น ซึ่งอันนี้ก็เป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุนอยู่แล้ว” นายกรัฐมนตรี แถลง

ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธาน สมช. กล่าวว่า วันนี้ได้พูดคุยกันบนหลักการที่ว่าเราจะต้องยึดมั่นในหลักการปกป้องอธิปไตยของประเทศ และดำรงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ และเราได้พูดคุยกับทุกฝ่ายวันนี้ หลักที่สำคัญก็คือ 3 ด้าน คือ 1.ด้านต่างประเทศ 2. ด้านกองทัพ และ 3. ด้านการสื่อสาร ได้ปรับตรงนี้ให้ชัดเจนขึ้นและได้มาร่วมกันทำงานได้มากขึ้น

“ส่วนกองทัพ ต้องยืนยันว่ากองทัพเราพร้อม ในเรื่องการรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศ  และบูรณาภาพเหนือดินแดนอันนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจนและได้คุยเป็นเนื้อเดียวกัน” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวตอนหนึ่ง

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ส่วนการสื่อสารจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นเจ้าภาพหลัก โดยประสานให้โฆษกกระทรวงกลาโหมและโฆษกกองทัพบก เข้ามาร่วมกันด้วย และมีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) จะเข้าร่วมมาดูแลเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศที่ทำให้การเจรจาหรือการหาข้อสรุป เกิดขึ้นยากลำบาก

“เรียนยืนยันอีกครั้ง สภาความมั่นคงฯ เราได้ตกลงและเห็นพ้องต้องกันว่า เรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญหลักที่เราจะต้องดูแลอย่างเต็มที่จริง ๆ ส่วนเรื่องอื่น ๆ เราจะประคองให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี ไม่เกิดการเสียประโยชน์ต่อทั้งประเทศเรา ในประเทศเรา และเพื่อนบ้านทั้งหมด เพราะเรายังมีภาระความจำเป็นที่ต้องร่วมมือกันอีก เพราะว่าความสัมพันธ์ทางชายแดนในทุกประเทศรอบ ๆ เรา มันมีเรื่องทั้งไซเบอร์ เศรษฐกิจ ยาเสพติด เรายังต้องร่วมมือกันทำงานปัญหาเหล่านั้น เพราะฉะนั้นความขัดแย้งอยากให้จำกัดวงให้มากที่สุด” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าว

ด้าน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  กล่าวว่า การต่างประเทศกับการทหารต้องไปด้วยกันเป็นเนื้อเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาอย่างยาวนาน เพราะฉะนั้นเราเห็นพ้องกันว่าในการเจรจากับทางฝ่ายกัมพูชา จะต้องใช้กลไก ทวิภาคีเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็น JBC – RBC – GBC เป็นกลไกหลักในขณะนี้  และเป้าหมายของก่ารเจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 14 มิ.ย. ที่จะเกิดขึ้นระหว่างคณะกรรมการร่วมของทั้งสองฝ่าย ก็จะต้องเน้น “จุดปะทะ” เพื่อแก้ปัญหา การกระทบกระทั่งกันเป็นหลักเสียก่อน ในเรื่องอื่น ๆ เราจะยังไม่ให้ความสำคัญ ณ ขณะนี้ จะพูดเรื่องของการแก้ไขปัญหาที่มีการเผชิญหน้า ลดความตึงเครียดในกรอบของกำลังทหาร ร่วมกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อน แต่อย่างไรก็ตาม JBC มีหน้าที่อยู่แล้วที่จะเจรจาเรื่อง เขตแดน เพราะฉะนั้นก็จะดำเนินการไปพร้อมกัน แต่เรื่องหลักจะเป็นเรื่องของการพูดคุยเพื่อลดความรุนแรง และลดบรรยากาศที่จะการกระทบกระทั่งกันเป็นหลัก

“เราจะใช้กลไกที่มีอยู่แล้วในเรื่องของทวิภาคีเป็นหลักเสียก่อน” รมว.ต่างประเทศ กล่าว

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.)  กล่าวว่า วันนี้อย่างแรกต้องเน้นย้ำว่ากองทัพสนับสนุนแนวทางของรัฐบาลในการแก้ปัญหา และคลี่คลายสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยสันติวิธี เรื่องที่สอง กองทัพได้ปฏิบัติหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญในการรักษาอธิปไตยและคุ้มครองปกป้องประชาชนตามแนวชายแดน ซึ่งได้ดำเนินการมาตลอด เรื่องที่สามวันนี้ในการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ (เวลา14:00 น.) เป็นการประชุมตามวงรอบปกติ ทุก 2 เดือน แน่นอนว่าการประชุมวันนี้จะมีการพูดคุยเรื่องของไทยและกัมพูชา ในลักษณะสนับสนุนแนวทางของรัฐบาล และสมช. และเพื่อ ความโปร่งใส หลังประชุมเสร็จ จะมี press release ออกมาว่ามีเรื่องอะไรบ้าง ส่วนที่ไม่ได้เชิญนักข่าว ตอนนี้เราต้องทำงานอย่างมืออาชีพ ในหลาย ๆ เรื่องอยากให้การสื่อสารเป็นแนวทางเดียวคือ กระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาล ลงไปถึงกระทรวงกลาโหม

“กองทัพในฐานะผู้ปฏิบัติงาน ขออนุญาตว่าจะสงวนการให้ข้อมูลเฉพาะ press release” ผบ.ทสส. กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามโดยเปรียบเทียบการรุกล้ำดินแดนไทย 200 เมตร กับบ้านจันทร์ส่องหล้าและบ้านของนายกรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการให้รวดเร็วกว่านี้อย่างไร นางสาวแพทองธาร ได้ตอบว่า “เมื่อวานนี้มีการคุยกันแล้วที่ไปคุย” พร้อมชี้มือไปทางนายภูมิธรรม

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ที่ไปคุยตกลงกันแต่รายละเอียดทุกอย่างที่คุยเราต้องเคารพกันทั้งสองฝ่ายว่ารายละเอียดให้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะว่าอันนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจา ทราบดีว่าอยากได้เนื้อข่าว อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม เพราะว่าตอนนี้ที่คุยกันทั้งสองฝ่าย “เป็นไปด้วยความโอเคหมด การเจรจา และกองทัพก็ออกมายืนยันแล้วว่า ตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมทุกรูปแบบสำหรับสถานการณ์ ทุก ๆ สถานการณ์”

“ซึ่งกองทัพเองทราบอยู่แล้วว่าเหตุการณ์หน้างานเป็นยังไง แล้วก็มันต้องปะทะหรือยัง อันนี้ก็เป็นการตัดสินใจของกองทัพที่เราก็ให้ที่หน้างานต้องดูเลยว่ามันต้องปะทะหรือเปล่า แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องปะทะ การที่เราจะปะทะไปมันเกิดความเสียหายมากกว่าแรงเชียร์ที่จะให้เกิดการปะทะ คือตรงนั้นมันต้องใช้สันติวิธีให้ได้มากที่สุด ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครช้าในเรื่องนี้ค่ะ ทุกคนทำกันหมดแล้ว และก็คุยกันหมดแล้ว แล้วแต่จะเลือกว่าเราจะฟังส่วนไหน ไม่ฟังส่วนไหนมากกว่า เพราะจริง ๆ ออกแถลงการณ์มา 2 ฉบับ จากรัฐบาลเรียบร้อยหมดแล้วในการดำเนินการและข้อตกลงแนวทางที่ประเทศไทยจะไปต่อ เมื่อวานนี้ก็มีอันล่าสุดออกเรียบร้อยแล้ว” นางสาวแพทองธาร กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button