
นายกฯ กำชับ “พาณิชย์” แก้เกม “ภาษีทรัมป์” เร่งหาตลาดใหม่ – ใช้ FTA ดันส่งออก
นายกฯ “แพทองธาร” มอบ “พาณิชย์” เป็นหน่วยหลักรับแรงปะทะมาตรการการค้าสหรัฐฯ สั่งเร่งหา “ตลาดใหม่” ควบคู่ใช้ FTA ดันส่งออก พร้อมกำชับทุกกระทรวงเร่งเบิกงบลงทุนปี 68 แก้เกมเศรษฐกิจโลก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 พ.ค.68) เวลา 11:30 น. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2568 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า เข้าร่วมประชุมรวม 42 หน่วยงาน เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในช่วงครึ่งปีหลัง
นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ทุกกระทรวงเร่งรัดการใช้งบประมาณรายจ่ายด้านลงทุน ปี 2568 โดยผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ได้รายงานว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา พบงบลงทุนภาครัฐเบิกจ่ายในระบบไปประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 34% ของวงเงินรวม แม้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นแต่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย ขอให้ทุกหน่วยงานจริงจัง เดินหน้าปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี โดยรายการที่ล่าช้าอาจพิจารณาชะลอหรือยกเลิก เพื่อนำงบไปใช้แก้ปัญหาผลกระทบจากแผ่นดินไหวแทน
นอกจากนี้ได้เน้นย้ำให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการค้า และการลงทุน เป็นหน่วยงานหลักในการรับมือกับผลกระทบของมาตรการการค้าสหรัฐฯ ที่ต้องทำควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมเจรจา โดยให้เจรจาหาตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยมีอยู่ เพื่อลดความผันผวนไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก และส่งเสริมผู้ประกอบการในการยกระดับและพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นต่อไป
นางสาวแพทองธารยังสั่งการให้ทุกกระทรวงขยายผลการดำเนินงานด้านการสื่อสารกับประชาชนผ่านระบบร้องเรียน “Traffy Fondue” ทั่วประเทศ เพื่อให้รัฐบาลเป็นศูนย์กลางรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับประเด็นเศรษฐกิจภายในประเทศ นางสาวแพทองธาร ได้กล่าวถึงบทบาทสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในการยกระดับสินค้าเกษตรไทย ซึ่งมีราคาต่ำและล้นตลาด โดยสั่งการให้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และภาคเอกชน หามาตรการพยุงราคา ตัดวงจรพ่อค้าคนกลาง พร้อมผลักดันโครงการ Thai Select เพื่อส่งเสริมร้านอาหารไทยในต่างประเทศให้ใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทย เพิ่มรายได้ภาคเกษตรอย่างยั่งยืน
ในด้านกฎหมาย นายกรัฐมนตรีกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขช่องโหว่ที่เอื้อต่อการสวมสิทธิ์สินค้า การประกอบธุรกิจแบบนอมินี และการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย พร้อมผลักดันการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ให้รวดเร็ว เพื่อเชื่อมโยงกับระบบบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ลดต้นทุน เพิ่มความสะดวกแก่ภาคธุรกิจ