
“อนุสรณ์” แนะ กนง. ลดดอกเบี้ย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ดัน GDP ขยายตัวเกิน 2%
“อนุสรณ์ ธรรมใจ” แนะ กนง. พิจารณาลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเสนอเปิดใบอนุญาตทำงานแก่ผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานหลังชาวกัมพูชากลับประเทศ พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบ “ภาษีทรัมป์” เก็บกลุ่ม BRICS สูงลิ่ว เป็นโอกาส ไทย-อาเซียน ขยายตลาดในสหรัฐฯ ลุ้นผลักดันเศรษฐกิจไทย “GDP” ปีนี้สูงกว่า 2%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 ส.ค.68) รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้วิเคราะห์ถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ โดยแนะนำว่า กนง. ควรพิจารณาลดดอกเบี้ยและผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาการกดดันจากเงินเฟ้อหรือเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและการลงทุนยังคงอ่อนแอ การกระตุ้นอุปสงค์ภายในจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ซบเซา
ด้านการขาดแคลนแรงงานจากการกลับประเทศของแรงงานกัมพูชา รศ.ดร.อนุสรณ์ แนะนำว่า ควรเปิดใบอนุญาตทำงานให้กับผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพต่าง ๆ ในไทย เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานและบรรเทาภาระงบประมาณของรัฐบาลไทย อย่างไรก็ตาม ปัญหาขาดแคลนแรงงานในระยะยาวยังคงเป็นความท้าทายจากสังคมสูงวัย ซึ่งจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เข้มข้นขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาแรงงาน รวมถึงการขยายอายุเกษียณในระบบ
สำหรับภาษีศุลกากรตอบโต้ ( (Reciprocal Tariffs) ที่รัฐบาลทรัมป์เก็บจากประเทศต่าง ๆ รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่า การเก็บภาษีที่สูงจากกลุ่ม BRICS ทำให้สินค้าในกลุ่มนี้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่สินค้าไทยและอาเซียนได้โอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาด การเก็บภาษีจากกลุ่ม BRICS โดยเฉพาะจีน (55%) และอินเดีย–บราซิล (50%) ส่งผลกระทบต่อสินค้าหลัก เช่น สินค้าเกษตร สิ่งทอ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร ขณะที่แอฟริกาใต้ถูกเก็บภาษีในระดับปานกลาง (30%) และรัสเซียถูกจำกัดการค้าเกือบทั้งหมดจากมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งทำให้ความสามารถแข่งขันของ BRICS ลดลงอย่างชัดเจน
“อัตราภาษีทรัมป์ที่เรียกเก็บจากกลุ่ม BRICS สูงกว่าอาเซียนค่อนข้างมาก เป็นการสร้างโอกาสสินค้าส่งออกของไทยและอาเซียนที่ต้องแข่งขันกับกลุ่ม BRICS การส่งออกอาจขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม นอกจากนี้ ยังจะทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจากประเทศ BRICS มายังไทยและอาเซียนมากขึ้นหากส่วนต่างของอัตราภาษีศุลกากรของสองกลุ่มประเทศนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้สูงกว่า 2% ได้” รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
ในขณะที่กลุ่มอาเซียนได้รับประโยชน์จากการลดภาษี ภายใต้นโยบาย Trump Tariffs โดยไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ได้รับการปรับลดภาษีเหลือเพียง 19% จากเดิมที่สูงกว่า ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก
จากการวิเคราะห์ของ DEIIT พบว่า ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย มีศักยภาพในการขยายส่วนแบ่งตลาดยางและผลิตภัณฑ์ยางในสหรัฐฯ โดยไทยและอินโดนีเซียเด่นในยางธรรมชาติและยางรถยนต์ ส่วนเวียดนามได้เปรียบในยางจักรยาน ขณะที่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย สามารถแข่งขันได้ดีในยางสังเคราะห์ นอกจากนี้ ไทยและมาเลเซีย ยังเด่นในผลิตภัณฑ์ยางอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดจากต้นทุนแข่งขันที่ต่ำกว่าและอัตราภาษีสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าประเทศใน BRICS
นอกจากนี้ ไทยและบางประเทศในอาเซียน ยังได้เปรียบในตลาดยานยนต์และชิ้นส่วนในสหรัฐฯ หลังจากที่ BRICS โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ต้องเผชิญภาษีสูงถึง 50–55% คำสั่งซื้อรถกระบะ, รถยนต์อเนกประสงค์, รถบรรทุก และชิ้นส่วนสำคัญมีแนวโน้มจะย้ายมาที่ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม โดยไทยครองความได้เปรียบในรถกระบะและยางรถยนต์ ส่วนมาเลเซียเด่นในอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเวียดนามเสริมในสายไฟและยางมอเตอร์ไซค์
การเก็บภาษีสูงจากจีนและอินเดีย ภายใต้ Trump Tariffs ยังส่งผลให้คำสั่งซื้อโทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน มีแนวโน้มที่จะย้ายมายังอาเซียนมากขึ้น รวมถึงการย้ายฐานการผลิตเข้าสู่กลุ่มอาเซียน โดยเวียดนามโดดเด่นในสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ไทยแข็งแกร่งในชิ้นส่วนและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ส่วนมาเลเซียและฟิลิปปินส์ มีโอกาสขยายการผลิตในเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม