
พรุ่งนี้ชี้ชะตา “แพทองธาร” โบรกชี้ SET ซึมซับการเมืองแล้ว ยันไม่เหวี่ยงแรง
นักวิเคราะห์ประเมินตลาดหุ้นไทยรับรู้คดี “แพทองธาร” ล่วงหน้าแล้ว คาดดัชนีแกว่งจำกัด 20-30 จุด และหากผลคำวินิจฉัยออกมาเชิงบวก SET มีโอกาสทดสอบแนวต้าน 1,280 จุดอีกครั้ง
บ่าย 3 โมง วันที่ 29 สิงหาคม คือเวลาที่ทุกสายตาต้องจับจ้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ กับคำวินิจฉัยคดี “คลิปเสียง” ซึ่งจะชี้ชะตา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ว่าจะได้ “ไปต่อ” หรือ “หยุดไว้เพียงเท่านี้” ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นอกจากสมการทางการเมืองแล้ว ตลาดหุ้นไทยก็กำลังเกาะติดเช่นเดียวกัน เพราะไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร ย่อมมีผลสะเทือนต่อความเชื่อมั่นและทิศทางการลงทุนในระยะสั้น เพียงแต่ประเมินกันว่าตลาดได้ “ซึมซับความไม่แน่นอน” ไปแล้วช่วงก่อนหน้า ทำให้แรงสะเทือนครั้งนี้อาจไม่รุนแรงมากนัก
ด้านนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH เปิดเผยกับทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดี “คลิปเสียง” นางสาวแพทองธาร ซึ่งจะมีคำตัดสินคดีขึ้นวันที่ 29 สิงหาคมนี้ มีความเป็นไปได้ 3 ฉากทัศน์ ได้แก่
- ศาลยกคำร้อง
- นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง และเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่จากพรรคร่วมรัฐบาลเดิม
- นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง และรัฐบาลดึงพรรคภูมิใจไทยกลับมาร่วม เพื่อสร้างเสถียรภาพ
นายกิจพณ ระบุว่า ให้น้ำหนักกับฉากทัศน์ที่ 1 และ 3 โดยหากศาลยกคำร้อง ตลาดหุ้นไทยจะเดินหน้าตามปัจจัยเดิม ขณะที่หากเป็นกรณีที่ 3 ตลาดอาจมองเป็นปัจจัยบวก เพราะการดึงพรรคภูมิใจไทยกลับมา จะทำให้เสียงรัฐบาลในสภาเพิ่มขึ้นจาก 51% เป็น 66% ส่งผลให้ความเสี่ยงเรื่องสภาล่มลดลง และเสถียรภาพทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ตัวบุคคลนายกรัฐมนตรีอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กดดันตลาด แต่หากผลคำวินิจฉัยออกมาในทางลบ พรรคเพื่อไทยเตรียมผลักดันนายชัยเกษม นิติสิริ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ต้องพิจารณาว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลเพียงพอหรือไม่ หากเสียงไม่ชัดเจน อาจทำให้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าจำเป็นต้องดึงพรรคภูมิใจไทยกลับมาร่วมรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งในช่วงที่ความชัดเจนยังไม่เกิดขึ้น ตลาดมีแนวโน้มผันผวน แต่ภาพรวมยังมองว่ากรณีการดึงภูมิใจไทยเข้ามามีโอกาสสูง
นายกิจพณ มองว่า หลังการผ่านงบประมาณปี 2569 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจได้ลดลงแล้ว สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจคือ ความไม่สบายใจจากบรรยากาศทางการเมือง และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในไตรมาส 3 จากผลกระทบมาตรการภาษีการค้า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านขาลง (Downside) ของตลาดยังจำกัด
สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้น นายกิจพณ ประเมินว่า ความผันผวนระยะสั้นจะอยู่ในกรอบ 20–30 จุด ใกล้เคียงกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่นายเศรษฐา ทวีสิน ถูกวินิจฉัยพ้นตำแหน่ง โดยครั้งนั้นความผันผวนเกิดขึ้นก่อนวันตัดสินจริง โดยความผันผวนเกิดขึ้นก่อน SET อยู่ที่ 1,300 จุด
จากนั้นก็ปรับตัวลงมาที่บริเวณ 1,274 จุด ลดลงประมาณ 50 จุด เกิดขึ้นก่อนวันตัดสินคดีของนายเศรษฐาในช่วงวันที่ 1-5 สิงหาคม 2567 แต่วันพอหลังวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ดัชนีก็มีความผันผวนเคลื่อนไหวบริเวณ 1,280-1,306 จุด มีการเคลื่อนไหวบวก/ลบ ประมาณ 26 จุด แต่พอวันถัดมา ดัชนีก็ปรับตัวลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,279 จุด แต่หลังจากนั้นก็ทยอยปรับตัวขึ้น เพราะฉะนั้นคาดว่าในกรณีของนางสาวแพทองธาร ดัชนีจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับในช่วงมีคำตัดสินคดีของนายเศรษฐา
นายกิจพณ กล่าวว่า ครั้งนั้นความผันผวนเกิดขึ้นก่อน ตอนที่ลงแรงคือ 1,300 ลงมาที่ 1,274 จุด ผันผวน ประมาณ 50 จุด เกิดขึ้นก่อนหน้าวันตัดสิน ช่วงวันที่ 1-5 สิงหาคม 2568 แต่พอวันที่ 14 มีความผันผวน 1,306-1,280 ประมาณ 26 จุด แต่ว่าพอรุ่งขึ้นตลาดตรงไปต่ำสุด 1,279 ซึ่งไม่ต่ำไปจากวันแรก และทยอยปรับขึ้น เพราะฉะนั้นคิดว่าก็คงคล้าย ๆ กัน
ดังนั้น รอบนี้ตลาดอาจเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกัน คือแกว่งตัวเล็กน้อยก่อนวันตัดสิน และผันผวนเพิ่มขึ้นหลังมีคำวินิจฉัย แต่ไม่น่าจะเป็นการปรับฐานรุนแรง โดยคาดว่า SET มีโอกาส “ลงแล้วดีดกลับ” ในกรอบจำกัด
ส่วนบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASPS ระบุว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดี “คลิปเสียง” นางสาวแพทองธาร มีความเป็นไปได้ 2 กรณี คือ กรณีแรก ศาลยกคำร้อง ทำให้นางสาวแพทองธารยังคงดำรงตำแหน่งต่อไป และถือเป็นการเดินหน้าต่อในรูปแบบ “ครม.แพทองธาร 2” ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และอาจหนุนให้ Fund Flow ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยได้
ขณะที่ กรณีที่สอง หากศาลชี้ว่ามีความผิดจริยธรรมร้ายแรง นางสาวแพทองธารจะต้องพ้นจากตำแหน่ง และต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
สอดคล้องนักวิเคราะห์หลายสำนักประเมินไปในทิศทางเดียวกัน เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DAOLSEC ว่า ตลาดหุ้นไทยได้ “รับข่าว” คดีนี้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ว่าผลคำวินิจฉัยจะออกมาในทิศทางใด จึงไม่น่าจะสร้างความผันผวนรุนแรง โดยคาดว่า ดัชนี SET จะเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด บวก/ลบไม่เกิน 20 จุด
ทั้งนี้ หากผลออกมาเป็นเชิงบวก มีโอกาสเห็นแรงซื้อกลับในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ หุ้นสื่อสารและพลังงาน ได้แก่ ADVANC, GULF, DELTA รวมถึง หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ SCB, KTB ซึ่งเป็นกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจสูง และจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ดัชนี SET Index กลับไปทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,280 จุด ได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงรอฟังคำวินิจฉัยในช่วงบ่ายก่อนตลาดปิดพรุ่งนี้ แต่สิ่งสำคัญคือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่จะสะท้อนผ่านดัชนีว่าที่สุดแล้ว ตลาดเลือก “มองข้ามการเมือง” หรือให้น้ำหนักกับ “ความไม่แน่นอน” มากกว่ากัน
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง :