เสียง กนง. ไม่เอกฉันท์! สัญญาณ “ธปท.” พลิกสู่โหมดผ่อนคลายเชิงรุก

การประชุม กนง. เมื่อ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา มีมติ 5 ต่อ 2 คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ขณะผู้ว่าฯ คนใหม่ “วิทัย รัตนากร” ส่งสัญญาณ policy space ยังเปิดรองรับเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์–นักเศรษฐศาสตร์ชี้ ธปท. กำลังขยับสู่แนวทาง “ผ่อนคลายเชิงรุก” คาดอาจลดดอกเบี้ยได้อีกในรอบธันวาคม


ปี 2568 นับเป็นปีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดินหน้านโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายต่อเนื่อง เพื่อตอบรับกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ โดยตลอดทั้งปี กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมแล้ว 3 ครั้ง จาก 2.25% เหลือ 1.50% ต่อปี

อย่างไรก็ดี การประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ปรากฏ “เสียงแตก” 5 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ต่อปี ซึ่งยังเป็นการประชุมครั้งแรกของ นายวิทัย รัตนากร ในฐานะผู้ว่าการ ธปท. ที่เข้าร่วมเป็นประธานคณะกรรมการ กนง.

แม้มติการลงคะแนนของกรรมการแต่ละคนไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่จากการให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าฯ “วิทัย” ภายหลังการประชุม รวมถึงมุมมองของนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ ทำให้ตลาดเชื่อว่า “1 ใน 2 เสียงข้างน้อย” ที่เสนอให้ลดดอกเบี้ย อาจเป็นของผู้ว่าฯ “วิทัย” เอง ซึ่งสะท้อนแนวคิด “ผ่อนคลายเชิงรุก” ของผู้ว่าฯ ธปท. คนใหม่ ที่มุ่งให้การดำเนินนโยบายการเงินสอดคล้องกับจังหวะของนโยบายการคลัง เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจโดยรวมให้ฟื้นตัวอย่างสมดุล

อย่างไรก็ตาม โครงสร้าง กนง. ที่มีผู้แทนจาก ธปท. 3 คน และกรรมการภายนอกอีก 4 คน ทำให้ “2 เสียงข้างน้อย” รอบนี้น่าสนใจ เพราะอาจสะท้อนว่า แนวทางของผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ยังอยู่ในช่วง “ปรับสมดุล” ระหว่างนโยบายแบบระมัดระวังของ ธปท. ดั้งเดิม กับแนวคิด “ผ่อนคลายเชิงรุก” ที่เน้นการประสานกับภาครัฐหรือไม่

วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย งาน Governor Connect ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568

หลังการประชุม กนง. รอบดังกล่าว ผู้ว่าฯ “วิทัย” ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ว่า ไทยยังต้องมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ที่ 1.50% ถือว่าต่ำสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ยังมี policy space (ช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) เหลืออยู่ และอาจลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ ถ้าจำเป็นต้องทำ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อ

ผู้ว่าฯ วิทัย กล่าวด้วยว่า ส่วนหนึ่งที่การประชุม กนง. ครั้งล่าสุดมีมติ 5 ต่อ 2 ให้คงดอกเบี้ย มาจากกรรมการบางส่วนมองว่าควรรอจังหวะที่เหมาะสม เพราะไทยมี policy space จำกัด โดยจะรอติดตามผลของการลดอัตราดอกเบี้ยกว่า 1% นับจากปี 2567 ถึงปัจจุบัน ว่าส่งผ่านไปได้แค่ไหน ซึ่งปกติแล้วจะใช้เวลามากกว่า 2 ไตรมาสขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจจะเติบโตได้อย่างสมดุลเข้าสู่ศักยภาพ ต้องมีทั้งมาตรการการเงิน และมาตรการเฉพาะจุด รวมถึงความร่วมมือจากหลายหน่วยงานให้สอดรับกัน เพื่อแก้ปัญหาให้คนแต่ละกลุ่มได้ชัดเจน เช่น SMEs ไปจนถึงหนี้ครัวเรือน

ความเห็นจากภาคตลาดทุน

ด้าน นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวกับทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” เห็นว่า การที่ กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี เพราะนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต้องใช้เวลาในการส่งผ่านผลต่อเศรษฐกิจ ปีนี้ กนง. มีการลดดอกเบี้ยนโยบายหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อ 13 สิงหาคม 2568 เพิ่งลดจาก 1.75% เหลือ 1.50% ซึ่งจะเห็นผลจริงในช่วงไตรมาส 4 ดังนั้นถ้า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกในการประชุมวันที่ 8 ตุลาคม อาจจะเร็วเกินไป

นายกิจพณ ระบุว่า การคงดอกเบี้ยในรอบนี้ ยังสะท้อนว่า กนง. ต้องการรอดูผลของมาตรการทางการคลังที่รัฐบาลทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งจะเริ่มส่งผลชัดในช่วงไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569

“เราจะเห็นว่าเม็ดเงินที่เข้าในระบบเศรษฐกิจช่วงนี้ จะส่งผลดีในช่วงไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ปี 2569 ดังนั้น กนง. จึงมีเวลารอประเมินผลของการลดดอกเบี้ยรอบก่อน และดูว่ามาตรการของรัฐบาลเอาอยู่หรือไม่ ถ้าไม่อยู่ก็ยังมีเวลาประชุมรอบเดือนธันวาคมที่จะตัดสินใจได้อีกครั้ง”

สำหรับการที่มติ กนง. รอบนี้ออกมาแบบ “เสียงแตก” 5 ต่อ 2 นายกิจพณ เห็นว่า ไม่เหนือความคาดหมายของตลาด เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในจุด “ก้ำกึ่ง” และนักเศรษฐศาสตร์เองก็มีมุมมองไม่ตรงกัน ซึ่งปีนี้ กนง. ลดดอกเบี้ยไปหลายครั้ง ไม่ใช่แค่รอบเดียว การลดดอกเบี้ยใช้เวลาประมาณ 3–6 เดือนกว่าจะเห็นผล ดังนั้นการคงอัตราไว้ตอนนี้เป็นจังหวะที่สมเหตุสมผล

นายกิจพณ กล่าวเพิ่มเติมว่า กนง. มี “ขีดความสามารถเชิงนโยบาย” ที่จำกัด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำมากอยู่แล้ว การลดดอกเบี้ยที่เหลือในปีนี้ต่อปีหน้าอาจทำได้อีกเพียง 2–3 ครั้งเท่านั้น ต่างจากสหรัฐอเมริกา หรือประเทศพัฒนาแล้วที่ยังมีช่องว่างมากกว่า ไทยจึงจำเป็นต้องเก็บกระสุนไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ

“ฝั่งของอเมริกาและหลายประเทศ มีดอกเบี้ยสูงกว่าไทยมาก อาจลดได้ 4–6 ครั้ง ด้วยลักษณะแบบนี้ ถ้าเราจะยิง กระสุนเราก็จะน้อยมาก แต่ผมคิดว่า ธปท. ก็จะเก็บ (กระสุน) ดอกเบี้ยเอาไว้ใช้ ถ้าจำเป็นจริง ๆ”

นายกิจพณ ยังประเมินว่า การคงดอกเบี้ยรอบนี้ไม่ได้สร้างผลลบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจเกิดการหมุนกลุ่ม (rotation) ชั่วคราวในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการคาดหวังลดดอกเบี้ย หลังจากราคาปรับขึ้นแรงตลอดไตรมาสที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน ถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มการเงินที่บางตัวปรับขึ้นกว่า 100% แล้ว ดังนั้นการไม่ลดดอกเบี้ยในรอบนี้ ถ้าจะมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มพวกนี้บ้าง ถือเป็นพฤติกรรมที่เข้าใจได้ของตลาด เพราะหลายตัวก็เล่นกับความคาดหวังกับการลดดอกเบี้ยมาล่วงหน้าระดับหนึ่ง

ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจได้อานิสงส์กลับมา ก่อนหน้านี้อาจมีความกังวลต่อการลดดอกเบี้ย พอมาถึง ณ ปัจจุบัน แม้ยังมีความกังวล แต่การลดจะเหลือได้แค่ 2 ครั้ง หมายความว่า ถ้าจะมีดาวน์ไซด์ (downside) จะเห็นผลกระทบว่าอยู่ในระดับไหน รวมถึงตลาดอาจไปมองการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวน เพราะว่าแม้จะไม่มีการเคลื่อนนโยบายที่สำคัญ แต่ว่า 3 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้น โดยเฉพาะ SET100 ขึ้นมาประมาณ 22% โดยหุ้น 10 ตัวแรกของ SET100 จะเห็นขึ้นมาน้อยสุดคือ 60% มากสุดคือ 100% นิด ๆ เพราะฉะนั้นก็ทำให้เห็นภาพว่า ต่อให้มีการลดดอกเบี้ย การที่หุ้นขึ้นเร็วจะมีการขายทำกำไร ก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวตามจังหวะตลาดที่สมเหตุสมผล

ขณะที่ตลาดโดยรวมยังต้องติดตามตัวเลขส่งออกเดือนกันยายนและผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งจะเป็นตัวชี้นำสำคัญของทิศทางในระยะถัดไป ซึ่งตัวเลขส่งออกเดือนกันยายน–ตุลาคม มีโอกาสที่ตัวเลขติดลบ ขณะที่ผลประกอบการหากไม่ได้ดีขึ้น ก็อาจเป็นจุดที่จะมีการขายทำกำไรได้ ดังนั้นภาพของตลาดที่มีการผันผวนแบบนี้จึงเป็นพัฒนาการตามกลไกปกติของตลาดทุน

นายกิจพณ ประเมินเพิ่มเติมว่า ในการประชุมรอบเดือนธันวาคม กนง. “มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากกว่าคง” โดยเฉพาะหากตัวเลขเศรษฐกิจยังอ่อนแอต่อเนื่องจากปัจจุบัน เพราะจากเอกสารประกอบการประชุม กนง. เองก็ประเมินว่า GDP ไทยจะชะลอตัวมากที่สุดในไตรมาส 1 ปี 2569 ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่มาล่าสุดแย่สุดอาจอยู่ที่ไตรมาส 2 ดังนั้นยังมีเวลาอีกระยะหนึ่งที่เปิดรับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกหลายอย่าง โอกาสที่จะลดเพิ่มจึงมี

นายกิจพณ ยังมองว่า กรณีที่หนึ่งในสองเสียงข้างน้อย อาจเป็นของผู้ว่าฯ “วิทัย” นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะผู้ว่าฯ มีประสบการณ์จากธนาคารออมสิน ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจรายย่อย จึงอาจมองเศรษฐกิจผ่านเลนส์ของ “คนตัวเล็ก” มากกว่าผู้ว่าฯ ธปท. รุ่นก่อนที่มาจากสายเศรษฐศาสตร์ หรือ ลูกหม้อของ ธปท. ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ว่าจะมีส่วนกับการลงมติส่วนตัวของแต่ละคน

แต่กลไกของ กนง. นั้น เป็นการชั่งน้ำหนักของมิติต่าง ๆ อยู่แล้ว ถ้ามองภาพว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง หลายคนคงพร้อมจะลดดอกเบี้ย แต่ว่าวันนี้จากนโยบายของรัฐบาลออกมา อย่างเช่นที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าหมาย GDP ไตรมาส 4 จาก 0.3% เป็น 1% ดีขึ้นพอสมควร ตรงนี้ ธปท. มองเห็นแผนของรัฐบาล และหลาย ๆ อย่าง จากเดิมที่กังวลว่า ดาวน์ไซด์จะลากลงไปแล้ว อาจทำให้โมเมนตัมนี้แย่ต่อในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า แต่พอมีแรงมาช่วยรองรับความเสี่ยงตรงนี้ ดาวน์ไซด์ลดลงไปเยอะ จึงมองว่ากรรมการ กนง. หลาย ๆ คน สามารถจะรอดูได้ หรือยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนที่จะต้องกระตุ้นเพิ่มเติม

เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง งานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทยประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568

มุมวิเคราะห์จากนักเศรษฐศาสตร์

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย มองมติของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ทั้งที่เศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ โดยอธิบายว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปหลุดกรอบเป้าหมายด้านล่างและอยู่ในแดนติดลบ แม้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก แต่อัตราเงินเฟ้อโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ จึงสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้

สำหรับกรณี “สองเสียงข้างน้อย” ที่เสนอให้ลดดอกเบี้ย โดยคาดว่าอาจมีผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่รวมอยู่ด้วยนั้น รศ.ดร.อนุสรณ์ มองว่าทิศทางนโยบายการเงินน่าจะมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับ กนง. ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตด้วย

ส่วนการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลที่ทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายชุด ภายใต้ “Quick Big Win” เช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส” นั้น รศ.ดร.อนุสรณ์ เห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ ขณะที่ประชาชนฐานรากมีปัญหาหนี้ครัวเรือน และผู้ประกอบการ SMEs เผชิญปัญหาสภาพคล่อง ทำให้การมีนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและการคลังควบคู่กัน มีความสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เติบโตได้ดีขึ้น

สำหรับแนวโน้มการประชุม กนง. เดือนธันวาคม รศ.ดร.อนุสรณ์ ประเมินว่า มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยมองว่า นโยบายการคลังที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันเป็นเพียงการบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งผลักดันการลงทุนให้ขยายตัว เพื่อกระตุ้นการจ้างงานและวางรากฐานเศรษฐกิจระยะยาว ซึ่งอาจยังทำได้ไม่เต็มที่ภายใต้รัฐบาลเฉพาะกาล

รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังระบุว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงิน จะช่วยให้เงินบาทไม่แข็งค่ามากเกินไป เป็นผลดีต่อภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งยังจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยการลดอัตราดอกเบี้ยจะไม่เป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้เกิดเงินทุนไหลออก เพราะการเคลื่อนย้ายเงินทุนจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่นมากกว่า

นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล พร้อมทีมเศรษฐกิจ เข้าหารือเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะในการปฏิรูปเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568

เสียงแตก 5–2 ทำให้เส้นทางดอกเบี้ยไทยเข้าสู่จุดประเมินใหม่ ระหว่าง “การรักษาเสถียรภาพ” กับ “การเร่งการเติบโต” ภายใต้ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ การประชุมเดือนธันวาคมจึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของดอกเบี้ย แต่เป็นบทพิสูจน์ว่า ธปท. จะปรับจังหวะให้สอดคล้องกับนโยบายการคลังได้แม่นเพียงใด เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงสำคัญของปี 2569

Back to top button