นักลงทุนต้องรู้! ยุบสภาแล้ว TISA ไปต่อหรือพอแค่นี้ เช็กสัญญาณก่อน 15 ธ.ค.

สถานะ “รัฐบาลรักษาการ” ภายหลังการยุบสภา ส่งผลให้การผลักดันนโยบาย TISA ต้องเผชิญข้อจำกัดทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 ที่ห้ามสร้างภาระผูกพันระยะยาว จึงต้องจับตาผลการหารือร่วมกับ กกต. ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ เพื่อชี้ขาดว่า นโยบายเศรษฐกิจสำคัญนี้จะเดินหน้าต่อได้ หรือต้องชะลอรอรัฐบาลชุดใหม่


การยุบสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” ไม่ได้หมายความว่า การบริหารราชการแผ่นดินจะหยุดลงทันที หากแต่รัฐบาลจะเปลี่ยนสถานะเป็น “รัฐบาลรักษาการ” ทำหน้าที่ประคับประคองประเทศไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเข้ารับหน้าที่

การประชุมรัฐสภา พิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระสอง วันที่ 11 ธ.ค. 68 ก่อนมี พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ

อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่ตามมา คือ รัฐบาลในช่วงรอยต่อนี้ “ทำอะไรได้แค่ไหน” และ “อะไรต้องชะลอไว้ก่อน” โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจใหม่ที่ตลาดทุนจับตาอย่างใกล้ชิด เช่น โครงการ Thailand Individual Savings Account หรือ TISA จะต้องสะดุดหยุดลงเพียงแค่นี้หรือไม่?

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 167 และ 168 ได้วางกรอบอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งไว้อย่างชัดเจน แม้รัฐบาลรักษาการยังต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพื่อไม่ให้ประเทศเกิดสูญญากาศทางอำนาจ แต่ขณะเดียวกันก็ถูกจำกัดบทบาท เพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจที่ส่งผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดถัดไป หรือกระทบต่อความเป็นธรรมของการเลือกตั้ง (อ้างอิง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 167–168)

ภายใต้กรอบดังกล่าว “รัฐบาลรักษาการ” ยังสามารถบริหารราชการแผ่นดินในกิจการปกติ ใช้งบประมาณที่ได้รับอนุมัติแล้ว และดำเนินการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนหรือเหตุจำเป็นได้ แต่จะไม่สามารถอนุมัติโครงการใหม่ มาตรการใหม่ หรือการดำเนินการใดที่ก่อให้เกิดภาระผูกพันระยะยาว เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นกรณีพิเศษ

การแถลงข่าวโครงการ TISA ของกระทรวงการคลัง และ ก.ล.ต. วันที่ 11 ธ.ค. 68

กรอบอำนาจดังกล่าวทำให้หลายโครงการด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียด ต้องถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หนึ่งในนั้นคือโครงการ TISA ซึ่งถูกวางให้เป็นแนวคิดภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” เสาที่ 4 เพื่อเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชน และอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี แต่เมื่อการยุบสภาเกิดขึ้นก่อนที่โครงการจะได้รับการอนุมัติ ทำให้กระบวนการดังกล่าวต้องชะลอออกไปโดยปริยาย

เพราะหาดูลงไปในรายละเอียดของโครงการตามที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเคยนำเสนอ TISA ถูกออกแบบให้เป็นบัญชีออม–ลงทุนเฉพาะ เพื่อจูงใจให้ประชาชนออมเงินระยะยาวผ่านกลไกตลาดทุน โดยมีการพูดถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษี อาทิ เพดานการลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี รวมถึงการใช้ตัวคูณลดหย่อนที่แตกต่างกันตามระดับรายได้ ทั้งนี้ รายละเอียดดังกล่าวยังอยู่ในระดับแนวคิดและต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาเชิงนโยบาย

ขณะเดียวกัน แนวคิด TISA ยังรวมถึงการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากผลตอบแทนการลงทุนในบางส่วน ภายใต้เงื่อนไขการถือครองระยะยาว เช่น การถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือจนถึงอายุ 55 ปี ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการสร้างวินัยการออม เพิ่มฐานนักลงทุนรายย่อย และเสริมเสถียรภาพให้ตลาดทุนไทยในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมาย โครงการลักษณะนี้เข้าข่าย “นโยบายใหม่” ที่อาจก่อให้เกิดภาระผูกพันด้านการคลังและโครงสร้างนโยบายต่อรัฐบาลชุดถัดไป ทำให้การผลักดัน TISA ในช่วงรัฐบาลรักษาการต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวัง และมีแนวโน้มต้องรอให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสินใจ

อย่างไรก็ดี เรื่องทั้งหมดนี้คงได้ตกผลึกในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ซึ่งรัฐบาลรักษาการ เตรียมหารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อพิจารณาขอบเขตการดำเนินการตามกรอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องจับตาว่า จะมีประเด็นใดที่รัฐบาลสามารถเดินหน้าต่อได้ หรือจำเป็นต้องชะลอไว้จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่

โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายและโครงการใหม่ด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น TISA, คนละครึ่งพลัส เฟส2, บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ในการขับเคลื่อนของรัฐบาลรักษาการ ย่อมมีผลต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

Back to top button