SETบ่ายไซด์เวย์ขาดปัจจัยบวกระยะสั้นแนะ 13 หุ้นงบ Q2 เด่น-รับดบ.ต่ำหนุน

บ่ายนี้ดัชนีฯคงแกว่งไซด์เวย์ หลังจะหยุดยาว 3 วัน ทำให้อาจเจอแรงขายทำกำไรบ้าง แต่เชื่อยังคงมีเล่นหุ้นรายตัวตามการเก็งงบฯ และหุ้นที่ยัง Laggard อยู่ พร้อมให้แนวรับ 1,435-1,432 แนวต้าน 1,450 จุด


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงานตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ภาคเช้า (30 มิ.ย.)ปรับฐานหลังบวกช่วงเช้าแล้วชนแนว 1,450 ก็เจอแรงขายทำกำไรออกมา เหตุตลาดฯขาดปัจจัยบวกในระยะสั้น และได้ตอบรับเรื่อง Brexit ของอังกฤษไปแล้ว บ่ายนี้ดัชนีฯคงแกว่งไซด์เวย์ หลังจะหยุดยาว 3 วัน ทำให้อาจเจอแรงขายทำกำไรบ้าง แต่เชื่อยังคงมีเล่นหุ้นรายตัวตามการเก็งงบฯ และหุ้นที่ยัง Laggard อยู่ พร้อมให้แนวรับ 1,435-1,432 แนวต้าน 1,450 จุด

 

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยปิดภาคเช้านี้ปรับฐานหลังจากที่ปรับขึ้นในช่วงแรก แต่เมื่อดัชนีฯปรับขึ้นชนระดับ 1,450 จุด ก็มีแรงขายทำกำไรออกมา เป็นผลจากตลาดฯขาดปัจจัยบวกในระยะสั้น และตลาดฯก็ได้ตอบรับในเรื่องที่อังกฤษจะถอนตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ไปแล้วด้วย

ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก เนื่องจากเริ่มคลายกังวลเกี่ยวผล Brexit ของอังกฤษ หลังจากที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางชั้นนำทั่วโลกจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดแรงกระทบอันเป็นผลจาก Brexit นอกจากนี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงในระยะสั้น แสดงให้เห็นว่า มีการขายสินทรัพย์ปลอดภัยแล้วโยกเงินเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เห็นได้จากราคาน้ำมัน และหุ้นที่ดีดตัวขึ้น

อย่างไรก็ดีในเดือนหน้า (ก.ค.) จะมีการทำ Preview ผลประกอบการไตรมาส 2/59 ในกลุ่มแบงก์ และบริษัทจดทะเบียนอื่น ๆ ซึ่งบริษัทใดที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาดี ก็จะสามารถ outperform ได้

ส่วนแนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ ดัชนีฯน่าจะแกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากตลาดฯกำลังจะหยุดระยะยาว 3 วัน ทำให้อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง อย่างไรก็ดีเชื่อว่ายังมีการเก็งหุ้นรายตัวตามคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าจะออกมาดี และหุ้นที่ยัง Laggard อยู่ พร้อมให้แนวรับ 1,435-1,432 จุด ส่วนแนวต้าน 1,450 จุด

 

บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (30 มิ.ย.) ว่า   SET ปรับสูงขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1,450 จุด อีกครั้งในช่วงเปิดตลาด แต่ยังไม่สามารถผ่านไปได้ ด้วยแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตามประเมิน Downside Risk จากการ “พักฐาน” ระหว่างวันจำกัด ขณะที่ระยะสัปดาห์คาดว่าจะปรับสูงขึ้นในรูปแบบ Sideways Up ไปที่ 1,472-1,474 จุด แนะนำ “ซื้อ” 1) Consumption + Infrastructure Plays อย่าง ROBINS, CPN, BEAUTY, CK, SEAFCO และ “เก็งกำไร” CPALL RS 2) ผลดีจากดอกเบี้ยต่ำ อย่าง JASIF, DIF, CPNRF, KKP และ 3) คาดการณ์กำไรไตรมาส 2/59 เติบโตเด่น อย่าง SGP, CPF

แนะนำ “ซื้อ” KKP ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 50 บาท ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ผลการดำเนินงานเติบโตแกร่ง 22% ปีนี้ สูงสุดในกลุ่มธนาคาร และไม่มีปัญหาจากการตั้งสำรองจำนวนมากเหมือนกับธนาคารขนาดใหญ่ 2) รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ผ่าน PHATRA เพิ่มขึ้นตามปริมาณการซื้อขายที่ดีในปีนี้ 3) ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่า Book Value ที่ 45 บาท หรือ PBV 0.93x ขณะที่ ROE เร่งตัวขึ้นจาก 8.9% ในปี 2015 เป็น 10.5% ปีนี้ และ 11.2-11.7% ในปี 2017-18 4)ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง 6.6-7.4% ต่อปี (จ่ายปันผล 2 ปีครั้ง) และ 5) ในทางเทคนิคทะลุแนวต้านแบบ Wedge ประเมินแนวต้านที่จุดสูงสุดเดิมบริเวณ 44.75 หรือถัดไปที่ 46.0 บาท

 

สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า  

IVL      มูลค่าการซื้อขาย 1,412.56 ล้านบาท ปิดที่ 28.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

BANPU    มูลค่าการซื้อขาย 1,105.95 ล้านบาท ปิดที่ 14.60 บาท ลดลง 0.10 บาท

ADVANC   มูลค่าการซื้อขาย 1,093.12 ล้านบาท ปิดที่ 158.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท

KBANK    มูลค่าการซื้อขาย 1,081.49 ล้านบาท ปิดที่ 171.00 บาท ลดลง  3.50 บาท

PTT      มูลค่าการซื้อขาย   674.65 ล้านบาท ปิดที่ 313.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

Back to top button