DELTA ทำกำไรได้ดีกว่าบริษัทใหญ่โบรกฯ แนะ “ซื้อ” ให้เป้า 110 บ./หุ้น

DELTA มีอัตราการทำกำไรที่ดีกว่าเดลต้า ไต้หวัน แนะนำ "BUY" ราคาเป้าหมาย 110 บาท/หุ้น


บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (10 ก.ย.) ว่า บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA มีอัตราการทำกำไรที่ดีกว่าเดลต้า ไต้หวัน ซึ่งดูได้จากตัวเลขปี 58 ที่มีอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (13.3% vs. 10.0%) และ ROE (22.2% vs. 16.9%) สูงกว่า เนื่องจากเดลต้า ไต้หวันมีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก (US$13b maket cap vs. US$3b สำหรับ DELTA) ทำให้เดลต้า ไต้หวันต้องแข่งขันด้วยปริมาณมากกว่า DELTA ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเกิน 30%+ จากธุรกิจ ODM โดยธุรกิจ ODM ประมาณ 75-80% ของรายได้ทั้งหมดของ DELTA และมีธรุกิจ regional ที่อัตรากำไรน้อยกว่าอีก 20-25% ของรายได้

ทั้งนี้ DELTA เลื่อนตัวเองขึ้นมาในห่วงโซ่การผลิตในช่วงต้นยุค 2000s ด้วยการซื้อบริษัทสัญชาติเยอรมัน Ascom Energy Systems เพื่อต้องการจะเอาศูนย์วิจัยและพัฒนา ที่จะมาทำให้กลายเป็นบริษัทที่เพิ่มมูลค่าสูงด้วยการออกแบบสินค้าและระบบให้กับลูกค้า (ODM) ซึ่งบริษัทก็เห็นอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 15% มาเป็น 27% ในปี 58 และ ROE เพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 22% โดยหลังจากที่ได้ค้นพบคลื่นของการเติบโตในอดีต คือกลุ่มสื่อสารและ data center (รวมกันแล้วคิดเป็น 70%+ ของรายได้ทั้งหมด) ซึ่งก็ยังคงเติบโตได้ดีด้วยเมกาเทรนอย่าง Internet of Things บริษัทก็ยังคงเห็นคลื่นแห่งการเติบโตลูกใหม่จากกลุ่มยานยนต์และธรุกิจ regional และถึงแม้ว่าธุรกิจ regional พึ่งจะถึงแค่จุดที่ขาดทุนน้อย แต่กลุ่มธุรกิจยานยนต์กำลังจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้วในปีนี้ ซึ่งก็จะมาลดการขาดทุนได้หลังจากที่ผ่านการตรวจคุณภาพที่ยาวนานมาแล้ว

สำหรับธุรกิจ regional เริ่มจากการซื้อมาขายไป โดยซื้อสินค้าจากเดลต้า ไต้หวันซึ่ง DELTA ก็นำสินค้าพวกนี้ไปประกอบ และได้เงินจากส่วนต่างราคาซื้อขาย และค่าบริการจากการประกอบ นอกจากนี้ DELTA ยังเพิ่มมูลค่าจากการให้บริการหลังการขาย และคิดค่าบริการเพิ่ม โดยเป้าหมายโมเดลธุรกิจสุดท้ายแล้วก็คือการให้บริการซอฟแวร์และโซลูชัน่ ครบวงจร ที่จะทำให้บริษัทได้เงินเต็มๆ จากการให้บริการลูกค้าโดยตรง เทียบกับธุรกิจ ODM ที่ไม่ได้ขายให้ลูกค้าคนสุดท้ายโดยตรงเสมอไป แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็อาจจะทำให้นักลงทุนเป็นกังวลในเรื่องของธรุกิจค้าขายที่ต้องเกี่ยวข้องกับ (ซื้อของจาก) บริษัทพี่ใหญ่อย่างเดลต้า ไต้หวัน

ทั้งนี้ด้วยสมมติฐานค่าเงินบาทที่อ่อนลง (ดู Siam Senses, ธีมการลงทุน 3-6 เดือน, 8 กันยายน) คือ 34.1 บาท/US$1 (จาก 33.8 บาท) ใน 58และ 36.6 บาท (จาก 35.5 บาท) ใน 59 ดังนั้นจึงปรับ EPS ในปีดังกล่าวขึ้น 7-12% และปรับวิธีประเมิณมูลค่าแบบ DCF เป็นปี 59 แต่ยังคงราคาเป้าหมายอยู่ที่ 110 บาท ด้วยการปรับลดกำไร

Back to top button