
MTC วางเป้าปล่อยสินเชื่อปีนี้โต 15% เปิดเพิ่ม 600 สาขา คุม NPL ไม่เกิน 2.7%
MTC เร่งขยายเครือข่ายทั่วประเทศ ตั้งเป้าเปิดเพิ่ม 600 สาขาภายในปีนี้ มั่นใจกลยุทธ์รุกแบบมีวินัยช่วยเสริมแกร่งพอร์ตสินเชื่อ พร้อมเดินหน้าออกหุ้นกู้ 3 รุ่น ช่วงปลายพฤษภาคม เสริมฐานทุนรับแผนเติบโต แม้ต้นทุนทางการเงินยังอยู่ในระดับสูง พร้อมตั้งเป้าควบคุมระดับ NPL ไม่เกิน 2.7%
นายสุรัตน์ ฉายาวรเดช ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยภาพรวมการดำเนินธุรกิจระหว่างการนำเสนอข้อมูลในงาน Opportunity Day ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 ตั้งเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อไว้ที่ระดับ 10–15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมจำนวน 600 สาขาภายในสิ้นปี 2568 จากจำนวนสาขาทั่วประเทศที่มีอยู่แล้ว 8,303 สาขา ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 ขยายสาขาไปแล้ว จำนวน 131 สาขา โดยการขยายสาขาดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
นายสุรัตน์ กล่าวอีกว่า บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการคัดกรองลูกค้าโดยใช้เกณฑ์ที่มีความเข้มงวด เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอน โดยบริษัทมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพ และมีการลดสัดส่วนของสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันในพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดีขึ้น โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 2.69% ซึ่งลดลงจาก 3.03% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และจาก 2.75% ณ สิ้นปี 2567
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าควบคุมระดับ NPL ให้อยู่ในกรอบไม่เกิน 2.7% เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นใจของผู้ลงทุนในระยะยาว
ทั้งนี้ เพื่อเสริมแหล่งเงินทุนรองรับแผนการเติบโตในอนาคต บริษัทฯ จึงเตรียมออกหุ้นกู้ใหม่ 3 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 3 ปี 11 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% ต่อปี, หุ้นกู้อายุ 4 ปี 11 เดือน 28 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.10% ต่อปี และ หุ้นกู้อายุ 6 ปี 11 เดือน 25 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.30% ต่อปี เพื่อไปใช้ชำระคืนหนี้จากการออกหุ้นกู้ (roll-over) และ เพื่อขยายพอร์ตสินเชื่อ โดยจะเปิดให้ผู้ลงทุนจองซื้อระหว่างวันที่ 27 – 29 พฤษภาคม 2568
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าหาแหล่งทุนเพิ่มเติมจากพันธมิตรสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการเงินและการดำเนินงานในระยะยาว
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีวงเงินปล่อยสินเชื่อเฉลี่ยต่อรายอยู่ที่ 25,000 – 30,000 บาท โดยมีอัตราส่วน Loan to Value (LTV) เฉลี่ยอยู่ที่ 50 – 70% ของมูลค่าหลักประกัน ซึ่งบริษัทฯ มีการคัดเลือกและบริหารสินเชื่ออย่างมีระเบียบและรัดกุม เพื่อรักษาคุณภาพสินเชื่อที่ดี
นายสุรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ และสามารถส่งผลดีต่อการเติบโตของสินเชื่อในอนาคต ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงติดตามและประเมินผลกระทบจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของภาครัฐ ซึ่งอาจมีผลต่อพฤติกรรมการกู้ยืมในระยะกลาง โดยบริษัทฯ จะใช้ข้อมูลจากการประเมินดังกล่าวในการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 6,630.56 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีมีกำไรสุทธิ 1,389.38 ล้านบาท
ด้านต้นทุนทางการเงินในไตรมาส 1/2568 เพิ่มขึ้น 28.41% มาอยู่ที่ 1,451 ล้านบาท ตามทิศทางดอกเบี้ยในตลาดที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการต้นทุนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงรักษาระดับต้นทุนเงินทุน (Funding Cost) ให้อยู่ในกรอบเป้าหมายที่วางไว้ที่ 4.4 – 4.6% และคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากพอร์ตสินเชื่อ (Yield) จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 – 3 ของปีนี้