จับตา! “มีชัย” นำทีมกฤษฎีกา เคาะปมคุณสมบัติ ประธาน กสทช. 5 ส.ค. นี้

จับตาคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยคุณสมบัติประธาน กสทช. หลังผู้ตรวจการแผ่นดิน พบพิรุจที่สำนักเลขานายก หวั่นโดนอ้างปัญหาทางเทคนิคกฎหมายซ้ำ


ผู้สื่อข่าวรายงานอ้างอิงแหล่งข่าวจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่หนึ่งซึ่งมี นายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน มีกำหนดจะพิจารณาข้อหารือจากสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินในกรณีการขาดคุณสมบัติของประธานคณะกรรมการ กสทช. ในวันพรุ่งนี้ (5 สิงหาคม  2568) ทำให้สังคมจับตาว่า ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายระดับประเทศจะวินิจฉัยอย่างไร

แม้จะมีการสรุปประเด็นว่า ประธาน กสทช.ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายไปโดยสิ้นสงสัยแล้ว ทั้งโดยคณะกรรมาธิการของทั้ง สว. และ สส. แต่มหากาพย์การดำเนินการเรื่องนี้ยังไม่จบ ประธานกสทช.ยังดำรงตำแหน่งต่อไป แม้จะมีหน่วยงานภารัฐและเอกชน ต่างๆ ได้ทักท้วงหลายครั้ง เรื่อง ความเสียหายที่เกิดขั้นจากการอนุมัติต่างๆ ของ ประธาน กสทช.

จึงเป็นที่มาที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย หลังจากได้ทำหนังสือถามไปที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการณ์ตามกฎหมาย กสทช. และเป็นผู้ดำเนินการขอโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง กสทช.ทั้งชุด แต่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกลับส่งเรื่องไปให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณา ซึ่งจะนำเข้าในคณะที่หนึ่งในวันพรุ่งนี้

ย้อนกลับไปประเด็นการขาดคุณสมบัติของประธาน กสทช. เริ่มจากการร้องเรียนของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ต่อ ประธานวุฒิสภา ในวันที่ 28 กันยายน 2566 ซึ่งทางเลขาวุฒิสภาและประธานวุฒิสภาในขณะนั้นคือ ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา (กมธ.ไอซีที วุฒิสภาฯ) เป็นผู้พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง ซึ่งทางคณะกรรมาธิการไอซีทีก็ได้มีการสรุปผลการสอบหาข้อเท็จจริง และรายงานผลต่อประธานวุฒิสภา ผลการพิจารณาการ ตรวจสอบฯ ดังกล่าว

โดยได้มีการนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ครั้งที่ 16/2567 เมื่อ 5 กรกฎาคม 2567 สรุปว่าศาสตราจารย์ คลินิก นายแพทย์สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามกฎหมาย ตาม พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 (12) มาตรา 4 และมาตรา 26 ประกอบกับ มาตรา 18 และมาตรา 20”

หลังจากวุฒิสภาชุดที่แล้วหมดอายุไปเดือนกรกฎาคม 2567 ทางคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธานได้นำประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา และมีตัวแทนจากทางคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานเลขาวุฒิสภา ตลอดจน สำนักงาน กสทช.เข้าร่วมให้ข้อมูลด้วย ซึ่งนายรังสิมันต์  ได้สรุปในที่ประชุมแล้วว่า สาระสำคัญของการขาดคุณสมบัติของประธาน กสทช.นั้นสมบูรณ์ไร้ข้อสงสัยไปแล้ว เหลือเพียงการดำเนินการตามกระบวนการให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น แม้ในกฎหมายได้ชี้ว่า นายกรัฐมนตรี ควรต้องเป็นผู้ดำเนินการ

ทั้งนี้ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้

1.ประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 20(4)(5) ภายหลังโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว บุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา หรือสานักงาน กสทช. จะเป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือลักษณะ ต้องห้าม รวมไปถึงการวินิจฉัยกรณี ประธาน กสทช.หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดสมบัติหรือรักษาต้องห้ามได้ และแจ้งผลให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

2.ตามกรณี 1. หากวุฒิสภา เป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณลักษณะ หรือเนื้อหาต้องห้าม รวมทั้งวินิจฉัยว่า ประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นบุคคลที่มี การขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม บุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ กรรมการ สรรหา หรือกรรมาธิการที่วุฒิสภา มอบหมาย ผู้ใดจะเป็นผู้ดาเนินการตรวจสอบและวินิจฉัย การขาดคุณสมบัติ หรือการมีลักษณะต้องห้าม หรือการดาเนินการฝ่าฝืนดังกล่าว

3.กรณี ตามมาตรา 20 วรรคท้าย มีหนังสือแจ้งให้สานักงานเลขาธิการวุฒิสภา และดำเนินการจัดให้มีการเลือกกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น เป็นกระบวนการภายหลังจากนายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งประธาน คสช หรือกรรมการ กสทช. หรือไม่ หรือเป็นขั้นตอนกระบวนการเริ่มต้นในการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือกระทาการอันเป็นการฝ่าฝืนโดยไม่แจ้งให้สำนักงานเลขาวุฒิสภาทราบ เพื่อดาเนินการตามพระราช 20 วรรค 2 และวรรคท้ายควบคู่กันไปหรือไม่ประการใด

การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่หนึ่งในวันพรุ่งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งวาระที่สังคมเฝ้าติดตาม ว่าการพิจารณาจะออกมาอย่างไร จะสามารถให้แนวทางที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ค้างคามาเกือบ 2 ปี เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีในองค์กรอิสระ และหน่วยงานภาครัฐต่อไป

Back to top button