
TOP โชว์กำไร Q2/68 แตะ 6.47 พันล้าน โต 17% รับค่าการกลั่นเพิ่ม-บุ๊กพิเศษหนุน
TOP โชว์กำไรไตรมาส 2/68 แตะ 6.47 พันล้านบาท โต 16.75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้น-พ่วงกำไรพิเศษหนุน พร้อมปรับกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
ด้านนายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 2 ปี 2568 กลุ่มไทยออยล์ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตที่ไม่รวมผลการขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 7.0 เหรียญ/บาร์เรล จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 5.4 เหรียญ/บาร์เรล จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดกับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในช่วงฤดูกาลขับขี่ในสหรัฐอเมริกา ประกอบกับราคาน้ำมันเตาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์การผลิตกระแสไฟฟ้า ในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียใต้
สำหรับราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอุปทานที่ตึงตัวเนื่องจากโรงกลั่นในสหรัฐและยุโรปปิดตัวลง นอกจากนี้ กำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวสูงขึ้นจากอุปทานที่ตึงตัวเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุง ในขณะที่กำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากอุปทานสารเบนซีนที่อยู่ในระดับสูงเนื่องจากการส่งออกจากภูมิภาคเอเชียไปยังสหรัฐอเมริกาไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งอุปสงค์สารเบนซีนยังคงถูกจำกัดเนื่องจากผู้ผลิตสารปลายน้ำปิดซ่อมบำรุงประจำปี
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้คลายความกังวลในเรื่องอุปทานที่ตึงตัวหลังจากอิสราเอลและอิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิงภายในระยะเวลา 12 วัน นับจากวันที่เริ่มมีการโจมตี ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสทยอยยกเลิกมาตรการปรับลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้มีอุปทานเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์รับรู้ผลการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 4,171 ล้านบาท
นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ ได้รับรู้กำไรพิเศษจากการซื้อคืนหุ้นกู้จำนวน 2,522 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (ซึ่งกลุ่มไทยออยล์ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 15) จากการซื้อกิจการของบริษัท Aster Chemical and Energy Pte. Ltd. ในสิงคโปร์ ประมาณ 7,062 ล้านบาท ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 6,476 ล้านบาท หรือ 2.90 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มขึ้น 2,972 ล้านบาทจากไตรมาส 1 ปี 2568
นายบัณฑิตฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาพรวมของธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งธุรกิจการกลั่นยังได้รับแรงสนับสนุนจากอุปทานที่ถูกจำกัดเนื่องจากโรงกลั่นในสหรัฐและยุโรปปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อุปสงค์น้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับที่ดี ธุรกิจสารอะโรเมติกส์คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยอุปสงค์จะปรับตัวสูงขึ้นจากโรงผลิตสารปลายน้ำเปิดใหม่และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในช่วงสิ้นปี ในขณะที่ธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานคาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากอุปทานที่ถูกจำกัดเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงผลิตน้ำมันหล่อลื้นพื้นฐานกลุ่มที่ 1 และธุรกิจตลาดสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดคาดการณ์ว่าจะยังคงถูกกดดันจากอุปทานที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการในภูมิภาคที่มีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว”
ทั้งนี้ ไทยออยล์ จะยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมั่นคง