SMO ลุ้นเหนือจอง โบรกชูเป้าสูงสุด 8.80 บ. ชี้กำไรเฉลี่ย 3 ปีโต 51%

SMO มั่นใจลงสนามเทรด SET วันแรกเหนือจอง ชูจุดแข็งผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบครบวงจรไทย ระดมทุนกว่า 1,250 ล้านบาท ใช้ขยายกำลังผลิต CPO และพลังงานชีวภาพ หนุนธุรกิจเติบโตยั่งยืน ด้าน 11 โบรกฯให้ราคาเป้าหมาย 7.20–8.80 บาท “บล.ดาโอ” มองกำไร 3 ปี (68-70) โตเฉลี่ย 51% ฟากผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ตระกูล “พวงมาลา–พิริเยศยางกูล–ลัม” ย้ำล็อกอัพหุ้น 100% ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 พ.ย.68) หลักทรัพย์ของ บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMOเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก โดยหุ้นเทรดภายใต้กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร โดยใช้ชื่อย่อ “SMO”

โดย SMO เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และผลพลอยได้ และผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยการบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เริ่มจากคัดสรรวัตถุดิบ การจัดการผลิตที่มีมาตรฐาน ให้ได้ผลผลิตสูง และนำผลพลอยได้จากการผลิตมาสร้างเป็นพลังงาน ปัจจุบันดำเนินงานผ่านโรงงาน 4 แห่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และสระบุรี มีกำลังสกัดรวม 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง และกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) 12.7 เมกะวัตต์ มีช่องทางขายทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นหนึ่งในผู้ผลิต CPO รายสำคัญของประเทศ

สำหรับ SMO มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 920 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 231.6 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้มีอุปการคุณ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท รวมถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัท ในราคาหุ้นละ 5.40 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนจากหุ้นใหม่ 1,250.64 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,968 ล้านบาท

ทั้งนี้ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 7.60 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.71 บาท โดยมีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

สำหรับการระดมทุนครั้งนี้เพื่อขยายกำลังการผลิตและบูรณาการในห่วงโซ่อุปทานน้ำมันปาล์มดิบ เสริมความแข็งแกร่งด้าน ESG และประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตลอดจนยกระดับการเชื่อมโยงกับเครือข่ายเกษตรกร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย

นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMO กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจและเสริมศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัท ด้วยความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่มีประสบการณ์ยาวนานในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบชั้นนำของประเทศ มีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ ก็มีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน หลังจากการระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน ขยายธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน บริษัทพร้อมมุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ดูแลชุมชน และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องด้วยธรรมาภิบาลที่ดี และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

สำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO: ได้แก่ 1) กลุ่มครอบครัวพวงมาลา ถือหุ้น 20.46% 2) ครอบครัวพิริเยศยางกูล ถือหุ้น 20.16% และ 3) กลุ่มครอบครัวลัม ถือหุ้น 17.75% ประกาศ “ล็อกอัพ” หุ้นทั้งหมด 100% เพื่อแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยส่วนใหญ่ยังคงถือครองระยะยาว มีเพียงประมาณ 3% ที่คาดว่าจะเข้าสู่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองต่างๆ โดยพิจารณาจากงบการเงินรวม

ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ SMO ครั้งนี้มีจำนวน 231.60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หรือพาร์หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 25.17 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อใช้ลงทุนเพิ่มในธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ ลงทุนในโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมถึงชำระคืนเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ”

ด้านผลประกอบการที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยในช่วงปี 2565 – 2567บริษัทมีรายได้รวม 6,870.42 ล้านบาท 5,894.14 ล้านบาท และ 6,261.09  ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยปี 2565 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 129.52  ล้านบาท ส่วนปี 2566 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 218.78  ล้านบาท และปี 2567 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 259.62 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 1.89 ร้อยละ3.71 และร้อยละ 4.14 ตามลำดับ

สำหรับงวด 6 เดือนปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 4,965.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.58 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 518.51 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 10.55 โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 305 จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายของบริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO เปิดเผยว่า “เรามั่นใจในศักยภาพของ SMO ที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ทั้งด้านผลประกอบการ การบริหารจัดการ และแผนการลงทุนเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ซึ่งกำหนดราคาเสนอขายไว้ที่ 5.40 บาทต่อหุ้น การกำหนดราคาเสนอขายดังกล่าวคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 7.6 เท่า โดยบริษัทมีกำไรต่อหุ้นในรอบ 12 เดือนล่าสุด (ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568) ซึ่งเท่ากับ 650.32 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดจำนวน 920 ล้านหุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.71 บาทต่อหุ้น (Fully Diluted) ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่มีอัตรา P/E Ratio เฉลี่ยอยู่ที่ราว 9.8 เท่า สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตและความน่าสนใจของหุ้น SMO ในเชิงมูลค่า

ด้าน 11 โบรกชี้เป้า SMO ราคาสูงสุด 8.80 บาท เตรียมระดมทุนเสริมศักยภาพผลิตน้ำมันปาล์ม ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 11 แห่ง ได้วิเคราะห์ราคาเหมาะสมของ SMO อยู่ที่ 7.20-8.80 บาทต่อหุ้น ประกอบด้วย

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า SMO เติบโตมั่นคงจากการผนึกยุทธ์ศาสตร์ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และด้านการตลาดส่งออกยาวนานกว่า 15 ปีในธุรกิจปาล์มน้ำมัน คาดกําไรสุทธิปี 2569-2570  เติบโตเฉลี่ย 19% CAGR จากการขยายกําลังผลิตทั้ง Organic และ M&A รวมถึงการส่งออก CPO ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ราคาเหมาะสมปี 2569 ที่ 8.80 บาท (SOTP) ROE สูง คาดจ่ายปันผล

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าเหมาะสมสำหรับ SMO ที่ 8.80 บาท อิงปี 2569 EV/EBITDA ที่ 6.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นในกลุ่มเกษตรของไทย และบริษัทผลิต CPO ในภูมิภาค (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ในช่วงปี 2568-2569

โดยประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจะเติบโตเฉลี่ยในช่วง 3 ปีข้าง (2567-2570) เติบโตเฉลี่ย 51% เป็น 900 ล้านบาทในปี 25670 หนุนโดยปริมาณขาย CPO และ PK ที่เติบโตขึ้นตามกำลังการผลิตที่สูงขึ้นท่ามกลางแนวโน้มการส่งออกของไทยที่ขยายตัว ในขณะเดียวกันเราประเมินว่าอัตรากำไรไรขั้นต้น (GPM) จะดีขึ้นจาก economies of scale ที่ขขายขึ้นจากฐานรายได้ที่สูงขึ้น เราะประเมินมูลค่าเหมาะสมสำหรับ SMO ที่ 8.80 บาท อิง 2026E EV/EBITDA ที่ 6.0x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นในกลุ่มเกษตรของไทยและบริษัทผลิต CPO ในภูมิภาค (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ในช่วงปี 2025E-2026E

บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ SMO ด้วยวิธี PER ได้ราคาเหมาะสมที่ 8.20 บาทต่อหุ้น อิง PER ปี 2026E ที่ 8.6 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มหุ้นกลุ่มน้ำมันปาล์มขนาดใหญ่ (รายได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี) ในตลาด

บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่า SMO ปี 2569 ที่ 8.10 บาท/หุ้น โดยอิงจากวิธีค่าเฉลี่ย PE ของหุ้นกลุ่มปาล์มน้ำมันจำนวน 3 บริษัท กำไรสม่ำเสมอ ได้แก่ PCE ,UPOIC และ UVAN ที่ 10.25 เท่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบการเติบโตของกำไร SMO มีการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเนื่องจากมีการขยายกำลังผลิตอย่างต่อเนื่อง และมีการปรับตัวของ GPM ที่ดีขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด คาดว่า SMO จะมีรายได้เติบโต 24% CAGR และกำไรสุทธิเติบโต 46% CAGR ในปี 2567-2570 จากการดำเนินการขยายกำลังการผลิตโดยมุ่งเน้นการขยายโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มในพื้นที่อื่นซึ่งอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่กลุ่มบริษัทมีความเชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม ประเมินมูลค่าของ SMO อยู่ที่ 8.10 บาทหรือเท่ากับ Forward P/E ปี2569 ที่ 10 เท่า

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินราคาเหมาะสม SMO ด้วยวิธี Market Comparable Approach อิง Prospective PE ที่ระดับ 8.8 เท่า เป็นค่าเฉลี่ย ย้อนหลัง 1 ปีของหลักทรัพย์ APO UPOIC UVAN และ VPO ซึ่งดำเนินธุรกิจคล้ายคลึงกับ SMO ทั้งนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2569 ราว 0.9 บาท ส่งผลให้คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 2569 ที่ 8.00 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเหมาะสมสำหรับ SMO สิ้นปี 2569 ที่ 7.90 บาท อ้างอิง PER ที่ 9.0 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งสะท้อนโอกาส และศักยภาพในการเติบโต ระดับความสามารถในการทำกำไร รวมถึงความเสี่ยงของราคาขาย และอัตราการทำกำไรที่ผันผวนตามราคาตลาดโลก

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด ระบุว่าการรุกตลาดส่งออกของ SMO กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับบริษัท นำมาซึ่งขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรต่อหุ้นจากการดำเนินธุรกิจปกติ (Core EPS) ปี  2567-2570 จะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 23.4% ต่อปี ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2569 ได้ 7.90 บาท ด้วยวิธี Earnings Yield อิงอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 11.7% ระดับราคาดังกล่าว เทียบเท่ากับปี 2569 PER ที่ 8.6 เท่า

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าพื้นฐาน SMO (ปี 2569) ที่ 7.50 บาท/หุ้น วิธี PE ที่ 8.1 เท่า บริษัทมีข้อได้เปรียบการแข่งขันจากการเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ของไทย มีกำลังการผลิต 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง พร้อมแผนขยายเป็น 315 ตันในปี 2569  ขยับขึ้นสู่เบอร์ต้นของประเทศ มีประสิทธิภาพการผลิตที่ดีจากการปรับปรุงกระบวนการผลิตเสร็จสิ้น

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า SMO เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิต และจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง และธุรกิจผลิต และจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ โดยการเข้า IPO จะช่วยต่อยอดการเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรปี 2568-2570 เติบโตเฉลี่ย 13.7% ต่อปี CAGR หนุนจากปริมาณขายที่ขยายตัวดีขึ้น ภาพรวมประเมินมูลค่าพื้นฐาน ปี 2569 ที่ 7.50 บาท อิง Forward PE’ 2569 ที่ 8.6 เท่า

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2569 อยู่ที่ 7.2 บาท/หุ้น ด้วยวิธี PER ซึ่งอิงจาก EPS ปี 2569 ที่ 0.86 บาท/หุ้น และอิง PER เฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ 8.35 เท่า พร้อมนโยบายจ่ายปันผลไม่ น้อยกว่า 50% ภายใต้ FV ปี 2569 ที่ 7.20 บาท คาดหวัง dividend yield ทั้งปีที่ 6.0%

Back to top button