
พาราสาวะถี
ความกังวลที่หลายคนหลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วง ก่อนที่ อนุทิน ชาญวีรกูล จะบินไปเซ็นปฏิญญาสันติภาพกับ ฮุน มาเนต ผู้นำเขมรที่มาเลเซีย มันเชื่อใจไม่ได้
ความกังวลที่หลายคนหลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วง ก่อนที่ อนุทิน ชาญวีรกูล จะบินไปเซ็นปฏิญญาสันติภาพกับ ฮุน มาเนต ผู้นำเขมรที่มาเลเซีย มันเชื่อใจไม่ได้ วันนี้ก็เป็นความจริงแล้ว หลังจากที่ทหารไทยต้อง เสียขาเป็นรายที่ 7 จากการเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เข้าใจได้ว่าแรงกดดันของ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธ เป็นเรื่องมารยาทว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ผลลัพธ์มันไม่มีทางลงเอยด้วยดี เมื่ออีกฝ่ายยังคงใช้วิธีการสกปรกตลอดเวลา
ถูกต้องแล้วหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนการประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กับมติให้ ระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาทั้งหมด พร้อม ๆ กับการ ไฟเขียวให้ปฏิบัติการทางทหารได้ตามสถานการณ์ เรื่องนี้แหละที่น่าสนใจ เพราะอารมณ์ของคนไทยส่วนใหญ่รู้สึกเดือดดาลกับสิ่งที่ทหารแนวหน้าต้องเผชิญ จึงอยากจะเห็นมาตรการตอบโต้ที่เด็ดขาด อย่างไรก็ตาม พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้เปิดเผยถึงวิธีที่จะดำเนินการ
เข้าใจได้ถือเป็นแผนการของฝ่ายความมั่นคงย่อมเป็นความลับ แต่บทสรุปที่ได้ร่วมกันจากที่ประชุม สมช.นั่นก็คือ กองทัพไม่ได้คาดหวังความจริงใจจากฝ่ายเขมรอยู่แล้ว อันเกิดจากประสบการณ์และพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่เคยพบมาโดยตลอดว่าไว้ใจไม่ได้ ส่วนการยกระดับเพื่อตอบโต้นั้น บิ๊กเล็กยืนยันว่าเป็นการ ปฏิบัติการทางทหารในเขตอธิปไตยของไทย แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ กรณีนี้เชื่อว่าน่าจะเป็นการรับฟังเสียงสะท้อนมาจากฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่ ซึ่งพร้อมที่จะจัดการผู้รุกรานทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากท่าทีของผู้นำเหล่าทัพ ย่อมจะทำให้มองเห็นว่ามันเป็นภาคบังคับที่มติของสมช.ต้องออกมาเช่นนี้ โดย พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ประกาศด้วยท่วงทำนองที่แข็งกร้าวว่า ความจริงได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้ว ท่าทีแห่งความเป็นปรปักษ์ยังคงอยู่ กองทัพบกจำเป็นต้องยุติทุกข้อตกลง เพื่อรักษาสิทธิในการป้องกันตนเองจากการถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม เรียกได้ว่า กลับเข้าสู่โหมดพร้อมรบ
ขณะเดียวกัน “บิ๊กหยอย” พลเอกอุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทางทหาร ได้มีการสั่งการไปยังเหล่าทัพ ให้ยึดมติการประชุมคณะผู้บัญชาการทางทหารหรือ คบท.ที่สำคัญ 3 ครั้ง ที่ยังคงไม่ได้ยกเลิก คือ มติเมื่อ 24 กรกฎาคม ให้ใช้แผนจักรพงษ์ภูวนารถ ซึ่งถือเป็นแผนเผชิญเหตุขั้นปกติไปจนถึงขั้นตอบโต้ ไม่นำไปสู่การประกาศสงครามหรือการระดมพลทั่วประเทศ เป็นการออกแบบมาตั้งรับและเข้าตีตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง พูดให้เข้าใจก็คือ การดำเนินการตามแผนนี้เสมือนเป็นการแสดงเจตนาว่า ไทยต้องการป้องกันตนเองจากการที่กำลังพลเผชิญกับเหตุการณ์ทุ่นระเบิดของเขมร นั่นเอง
ส่วนอีกสองมติคือ มติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ให้คงการปิดด่านชายแดน สร้างความมั่นคงชายแดนโดยการสร้างแนวรั้วและลาดตระเวน และ ยืนยันการใช้กฎการใช้กำลัง หรือ ROE เพื่อป้องกันตนเอง หากมีการกระทำที่เป็นปรปักษ์ และมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ชายแดน เตรียมแผน และ กฎการใช้กำลังที่เป็นไปตามกฎหมาย และให้ทุกส่วนสนับสนุนฝ่ายทหาร ทั้งหมดอยู่ที่การประเมินผลกระทบจากการกระทำของฝ่ายตรงข้าม หากยังมีความเคลื่อนไหวและท่าทีที่เป็นศัตรู ย่อมที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะไม่ได้
จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่แต่ฝ่ายความมั่นคงที่ไม่ไว้วางใจฝ่ายเขมร ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนสิงหาคม อันเป็นช่วงจังหวะเวลาที่ฝ่ายการเมืองของไทยจะไปเจรจากับเขมรที่กัมพูชา เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยแสดงความเป็นห่วง มีข้อเสนอแนะต่อประเด็นทุ่นระเบิดว่า ต้องให้ทางฝั่งกัมพูชากู้กับระเบิดที่วางใหม่ในช่วงที่มีปัญหา เรื่องนี้ต้องนำไปเจรจาใหม่ คนที่วางเท่านั้นที่จะรู้ว่าไปกู้ตรงไหน นั่นจึงเป็นภาพสะท้อนว่า การยอมอ่อนข้อให้เขมรก่อนการเซ็นปฏิญญาจึงไม่ใช่ทางเลือกที่เชื่อตั้งแต่ตอนนั้นว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
ยิ่งชัดเจนเข้าไปอีกเมื่อถึงขั้นตอนดำเนินการ จากที่ตกลงกันไว้ 13 พื้นที่ เขมรก็ยังลีลา จนฝ่ายไทยใจดียอมถอยให้เหลือ 5 พื้นที่ พร้อม ๆ เงื่อนไขยินดีที่จะปล่อยตัว 18 เชลยศึกในวันที่ 12 พฤศจิกายน แต่ดันมาเกิดเหตุการณ์เสียก่อน ไม่ต้องอธิบายใด ๆ การปฏิเสธในรูปแบบเขมรถือเป็นสิ่งที่ไม่ต้องคาดเดาก็รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นยังไง ทั้งหมดนี้ นอกเหนือจากมาตรการของกองทัพแล้ว การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศก็ต้องทำการสาวไส้ ประณามถึงความต่ำทรามของอีกฝ่ายให้นานาประเทศได้รับรู้
สนับสนุนต่อท่าทีของ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ย้ำว่า คำชี้แจงของเขมรต่อกรณีที่เกิดขึ้นยังไม่เป็นที่พอใจ ส่วนการเจรจาไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีพื้นที่ในการพูดคุย การระงับปฏิญญาก็เพื่อให้อีกฝ่ายแสดงความรับผิดชอบ ขอให้รอดูท่าทีจากไทยก็แล้วกัน ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงความร่วมมือใด ๆ จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ต้องติดตามกระบวนการของกระทรวงต่างประเทศ ที่มีการประสานกับกองทัพและฝ่ายความมั่นคงในแง่ของข้อมูลเพื่อจะใช้เวทีระดับโลกในการเล่นงานเขมรจะได้ผลหรือไม่
ส่วนประเด็น “บิ๊กกุ้ง” พลโทบุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษา ผบ.ทบ. ปูดข้อมูล มีคนสั่งให้หยุดยิง หลังทหารไทยเปิดฉากโต้กลับเขมรไปได้ 6 ชั่วโมงนั้น สุดท้ายก็จบลงด้วยคำพูดที่ว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ทำให้พวกที่ต้องการทำให้เป็นเรื่องทางการเมืองผิดหวังไปตาม ๆ กัน พอจะเข้าใจได้เพราะมีพวกที่คิดว่าต้องเป็นนักการเมืองที่มีอำนาจ ณ เวลานั้นแน่ ๆ แต่เอาเข้าจริงมันไม่ใช่แบบนั้น มันมีความละเอียดอ่อนหลายประการ บรรดาผู้นำในกองทัพต่างรู้ดี จบแบบนี้ดีที่สุด เพราะอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ก็รู้ดี และเข้าใจบทบาทของตัวเองเวลานี้ดีที่สุด ต้องพูดให้คนรักชาติ สามัคคีกัน ซึ่งต้องระวังเรื่องกลอนพาไป
อรชุน