
THANI ตั้งเป้าปี 69 พอร์ตสินเชื่อแตะ 2 หมื่นลบ. มั่นใจ EV แท็กซี่–รถบรรทุกโตแรง
THANI มองตลาดยานยนต์ปี 2569 มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยคาดว่าความต้องการรถบรรทุกจะกลับมาในช่วงไฮซีซั่น ขณะที่การเปลี่ยนผ่านสู่รถ EV โดยเฉพาะรถแท็กซี่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่อใหม่สู่ระดับ 17,000–20,000 ล้านบาท ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นายโกวิท รุ่งวัฒนโสภณ ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ในงาน Opportunity Day ที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 907.99 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 300.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 276.78% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 79.79 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการลดลงของดอกเบี้ยจ่ายและการปรับปรุงใน ECL (Expected Credit Loss) ที่ลดลง
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทมีรายได้รวม 2,853.92 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 832.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.94% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 677.51 ล้านบาท
THANI นายโกวิท กล่าวต่อว่า ในการขายรถยนต์โดยรวมยังคงทรงตัว โดยยอดขายในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของรถบรรทุก ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศในฤดูฝน ส่งผลให้ยอดขายรถบรรทุกปรับตัวลดลงประมาณ 50% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1–2 ที่ยอดขายลดลงราว 30–35% ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าตลาดจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ และต่อเนื่องไปยังไตรมาส 1 ปี 2569 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้ การเปลี่ยนมาตรฐานเครื่องยนต์จากยูโร 3 เป็นยูโร 5 ยังส่งผลให้รถยนต์บางรุ่นประสบปัญหาขาดตลาดเป็นระยะ เนื่องจากผู้ผลิตต้องปรับสายการผลิตให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่
ส่วนตลาดรถลัคชัวรีคาร์และตลาดบิ๊กไบค์ในไตรมาส 3 ยังคงทรงตัว โดยยอดขายและยอดปล่อยเช่าซื้อไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ตลาดรถแท็กซี่มีการปรับตัวเชิงบวก โดยมีการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าสัดส่วน 80–90% โดยบริษัทได้รับการบุ๊คกิ้งแล้วประมาณ 400–500 คัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 600–700 คันในไตรมาส 4 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน โดยมีราคาประมาณ 500,000–600,000 บาท ช่วยลดต้นทุนทั้งด้านราคาและค่าเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านทรัพย์สินรอการขาย (NPA) บริษัทระบุว่าสถานการณ์รถยึดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยสามารถขายรถยึดได้เฉลี่ยประมาณ 100 คันต่อเดือน และในไตรมาส 3 มีมูลค่าการขายรถยึดรวมประมาณ 190 ล้านบาท พร้อมคาดว่าในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของรถบรรทุก จะมีมูลค่าการขายเพิ่มขึ้นเป็น 140–150 ล้านบาท
นายโกวิท กล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจรถบรรทุก การส่งออกและนำเข้ายังได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าและกำแพงภาษี ทำให้การเติบโตชะลอตัว ขณะที่ภาคพลังงานยังไม่มีสัญญาณการใช้เพิ่มขึ้น แม้ภาคการเกษตรจะมีผลผลิตมากขึ้น แต่กำลังเข้าสู่ช่วงสิ้นสุดฤดูกาล โดยต้องติดตามว่าปริมาณ “ข้าว” ในไตรมาส 4 จะช่วยกระตุ้นการขนส่งได้มากน้อยเพียงใด ส่วนภาคก่อสร้างยังอยู่ในภาวะชะลอตัวทั้งจากภาครัฐและเอกชน
ด้านการค้าชายแดน (Border Trade) ยังคงได้รับผลกระทบจากการปิดด่านทางฝั่งกัมพูชาและปัญหาทางการค้าของเมียนมา ส่งผลให้ปริมาณการค้าลดลง และสถานการณ์ดังกล่าวอาจยาวต่อเนื่องไปถึงปี 2569 โดยบริษัทได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบบางส่วนแล้ว แม้ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด
นายโกวิท กล่าวเสริมว่า สำหรับแผนปี 2569 ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจว่า จะขับเคลื่อนมากน้อยแค่ไหน ทำให้การวางแผนต้องมีความยืดหยุ่น ปี 2568 จะปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 15,000 ล้านบาท ส่วนปี 2569 บริษัทตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ 17,000- 20,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามยอดขายของรถบรรทุก รวมทั้งปัจจัยเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก กำแพงภาษี และการค้าชายแดน ซึ่งขณะนี้การขนส่งได้เปลี่ยนแปลงไปจากทางบกไปสู่ทางน้ำ โดยจะขึ้นที่ท่าเรือในเมียนมา ขณะที่ฝั่งกัมพูชายังคงปิด 100%

