“ทรงกลด” มอง SET ปีนี้ แตะ 1,700 จุด แนะสอย 7 หุ้นท็อปพิค! ฉายแววกำไรโตสนั่น-อัพไซด์สูง

นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA มอง SET ปีนี้ แตะ 1,700 จุด แนะสอย 7 หุ้นท็อปพิค! ฉายแววกำไรโตสนั่น-อัพไซด์สูง นำโดย KBANK, BBL, SCGP,SCC,BTS,TASCO 


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจในประเทศมาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว เห็นได้จากการบริโภคและจับจ่ายในประเทศที่กลับมาสูงขึ้น รวมถึงอัตราการจ้างงานที่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะเร่งตัวขึ้นในเร็วๆนี้จากการคาดการณ์ว่าการระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 จะดีขึ้นจากการกระจายวัคซีนที่รวดเร็วในปีนี้

โดย FSSIA คาดว่าค่าใช้จ่ายใน​การลงทุน (CAPEX) หรือวัฏจักรการลงทุนใหม่ของภาครัฐ และภาคเอกชนจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยสูงกว่า 3% ในปี 2565-2566 และจะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน โดยกลุ่มที่คาดว่ากลุ่มแบงก์ และก่อสร้าง จะ Outperform SET Index ในครึ่งปีหลังนี้ จากการเติบโตของสินเชื่อ และรายจ่ายในภาคการก่อสร้างที่แข็งแกร่ง ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีมูลค่า และอัตราการเติบโตของกำไรที่น่าติดตาม ที่สำคัญ ทั้งสองกลุ่มยัง Underperform SET Index อยู่ในปีนี้

ทั้งนี้ การเร่งฉีดวัคซีนตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. 2564 ทำให้ FSSIA เชื่อว่านักลงทุนจะมองข้ามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19ในครึ่งปีแรกนี้ และนักลงทุนบางส่วนจะเก็งราคาเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงครึ่งปีหลัง และต่อเนื่องไปยังปี 2565 ซึ่งเศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นตัวแล้ว ซึ่งจากตัวเลขการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้ FSSIA เชื่อว่าจะเป็นตัวผลักดันให้ SET Index ปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ แตะเป้าหมายที่ 1,700 จุด

FSSIA แนะนำหุ้น Top Picks ได้แก่

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK (TP 190.00)  เนื่องจากมีคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดี และการตั้งสำรองที่เพียงพอ ทั้งยังเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนดิจิทัล โดย FSSIA คาดว่า KBANK จะมีผลประกอบการที่โดดเด่นในไตรมาสที่2/2564 ซึ่งจะโตกว่า 300%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก ECL ที่ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับการตั้งสำรองในปี 2563

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL (TP 170.00) โดยคาดว่า BBL จะประกาศการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งตลอดทั้งปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก ECL ที่ลดลง โดยกำไรคาดจะโต 47% ในปีนี้ โดยกำไรไตรมาสที่สองจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเกือบ 100% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน  นอกจากนั้นแล้วยังคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากฐานที่ต่ำ และการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP (TP 64.50) FSSIA มีมุมมองเชิงบวกต่อกลยุทธ์การเติบโตของ SCGP ผ่าน M&P และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกในปี 2564 โดยนับจากวันที่เข้าตลาดหุ้นในเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว SCGP ปิดดีลใหญ่ๆไปแล้ว 3 ดีลด้วยกัน ซึ่งก็คือ SOVI, Go-Pak, และ Duy Tan นอกจากนั้นยังมี INTAN ในอินโดนีเซียอีกด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นตัวช่วยผลักดัน EBITDA มาร์จิ้นให้สูงขึ้นกว่า 1.0 ppt

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC  (TP 494.00) FSSIA คาดว่ากำไรของ SCC จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2564-2566 ซึ่งธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะฟื้นตัว นอกจากนั้นธุรกิจเคมีภัณฑ์ก็จะยังโตต่อเนื่องด้วยเช่นกัน จากมาร์จิ้นที่ยังคงสูงอยู่ ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์นั้นจะได้ต้นทุนการรีไซเคิลกระดาษใช้แล้วที่อยู่ในระดับต่ำ บวกกับดีมานด์ที่สูงขึ้น และกำลังการผลิตจาก M&A เป็นตัวช่วยผลักดันกำไร

บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT (TP 20.00) ในเดือน มิ.ย. 2564 นี้น่าจะเห็นการฟื้นตัวของการจราจรหลังจากที่มีการกระจายวัคซีนในไทย ซึ่งตัวเลขการจราจรที่ต่ำในเดือน พ.ค. คาดว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และกำไรน่าจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสที่สามเป็นต้นไป ก่อนจะโชว์ผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปีหน้า

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS (TP 11.00) FSSIA มองว่าการลงทุนคือกุญแจสำคัญต่อกำไรของ BTS โดยบริษัทวางงบลงทุน 5-6 พันล้านบาทต่อปีเพื่อเข้าถือหุ้นในบริษัทต่างๆที่คาดว่าจะสามารถขยายธุรกิจในการทำซินเนอร์จี้ด้วยกันได้ หรืออีกด้านคือการลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง โดย FSSIA ชอบแผนการลงทุนของ BTS เนื่องจากเป็นการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี และบริษัทยังมีเงินสดเพียงพอที่จะลงทุนในโครงการต่างๆในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้

บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO (TP 22.50) ยังคงเป็นหุ้นที่น่าจับตาจากตลาดยางมะตอยที่แข็งแกร่งในปี 2564 จากดีมานด์ที่สูงขึ้น และมาร์จิ้นที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม FSSIA มองว่าการปิดตัวของโรงงานในเวเรซุเอล่า การกดดันจากสหรัญ และการขนส่งที่ติดขัดในช่วงโควิด-19 จะยังกดดันยอดขายในตไรมาสที่สองอยู่

Back to top button