หุ้น “อนุทินกรุ๊ป” วิ่งต่อ! เก็งสภาโหวตนั่งนายกคนที่ 32 วันนี้ โบรกชู STECON เด่น

หุ้น “อนุทินกรุ๊ป” บวกต่อ! นำโดย STECON–STPI–DOD คาดเก็งกำไรสภาโหวต “อนุทิน ชาญวีรกูล” นั่งนายกฯ คนที่ 32 วันนี้ โบรกชี้ STECON แบ็กล็อกทะลุแสนล้านบาท หนุนกำไรครึ่งปีหลังฟื้นตัว แนะเป้าหมายสูงสุด 9.40 บาท พร้อมคัดหุ้นเด่นรับไทม์ไลน์เลือกตั้งใหม่ แนะสื่อโฆษณา PLANB, BEC ค้าปลีก CPALL, BJC, CPN


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(5 ก.ย.68) ราคาหุ้นเกี่ยวเนื่องกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งได้รับการเสนอชื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 วันนี้ ปรับตัวขึ้นต่อนำโดยนำโดย บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ณ เวลา 10:26 น. อยู่ที่ระดับ 7.95 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 2.58% ราคาสูงสุด 8.10 บาท ราคาต่ำสุด 7.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 90.54 ล้านบาท

บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI ณ เวลา 10:31 น. อยู่ที่ระดับ 4.02 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 0.50% ราคาสูงสุด 4.06 บาท ราคาต่ำสุด 4.02 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 7.22 ล้านบาท

บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD ณ เวลา 10:34 น. อยู่ที่ระดับ 1.99 บาท บวก 0.10 บาท หรือ5.29% ราคาสูงสุด 2.02 บาท ราคาต่ำสุด 2.02 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 8.04 ล้านบาท

ด้านผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นและกองทุนรวมใน “หุ้นอนุทินกรุ๊ป” ที่น่าจับตา กรณีหากนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับการเสนอชื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เข้าสู่สภาในวันที่ 5 ก.ย. นี้ ได้แก่ 1. บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON 2. บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI 3. บริษัท ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ HPF  4. บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV 5. บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD

6.ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า เอ็มเอฟซี อินดัสเตรียล อินเวสเมนท์ หรือ MII และ 7. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี-นิชดาธานี หรือ MNIT รวมทั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ MFC-Strategic Storage Fund หรือ M-STOR

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า หุ้นกลุ่มเชื่อมโยงปัจจัยการเมืองจะเคลื่อนไหวโดดเด่น  หลังประธานสภาบรรจุญัตติการเลือกนายกฯ คนที่ 32 เข้าสู่สภาในวันนี้   5 ก.ย. โดย พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนมีมติร่วมกันในการเสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

โดยแนะสะสมหุ้นบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON โดย ปัจจุบันมี Backlog (ไม่รวมสนามบินอู่ตะเภา) สูงถึง 1 แสนล้านบาท และคาดว่าจะเซ็นสัญญาเพิ่มเติมในครึ่งหลังปี 2568 อีกราว 2 หมื่นล้านบาท ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER 2568 ระดับ 7.3 เท่า และให้ Dividend Yield ราว 4.5% ต่อปี

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  เลือก STECON เป็นหุ้นเด่น  โดยให้ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 9.00 บาท ประเมินว่า หากการโหวตนายกรัฐมนตรี ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 5 กันยายนนี้ สามารถผ่านไปได้ตามกรอบเวลาเดิม จะส่งผลเชิงบวกต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ให้เป็นไปตามปกติ ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อผู้รับเหมาก่อสร้าง รวมถึง Backlog ของ STECON

ด้านผลประกอบการ คาดว่ากำไรครึ่งปีหลัง 2568 จะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน หรือ YoY จากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่สูงขึ้น จากการรับรู้รายได้โครงการที่มีมาร์จิ้นดี ประกอบกับการไม่มีค่าใช้จ่ายจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเหมือนปีก่อน ทำให้แนวโน้มกำไรฟื้นตัวชัดเจน

สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ใช้ค่า P/E ปี 2568 ที่ 14.7 เท่า พร้อมคาดการณ์เงินปันผลที่ Dividend yield 3.1%

บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) แนะนำ ซื้อ STECON ราคาเป้าหมาย 9.40 บาท โดยปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการช่วงครึ่งหลังปี 2568 ยังเห็นการเติบโตได้ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ทั้งจากฐาน Backlog ที่มีอยู่กว่า 100,000 ล้านบาท และการไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู ไตรมาสละกว่า 100 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำซื้อ STECON เพราะเชื่อว่าผลประกอบการในไตรมาสถัด ๆ ไปจะยังคงแข็งแกร่ง ที่ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หลังพรรคประชาชนประกาศมีมติโหวตนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 ก.ย. 2568 (ตามการเผยแพร่รายละเอียดว่าที่ประชุมสภาฯ ได้บรรจุวาระ “เรื่องด่วนที่ 8”) ซึ่ง 5 ข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ระหว่างทั้ง 2 พรรค คือ 1. ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน 2. จัดประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ (กรณีต้องมีประชามติ) 3. เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ (หากไม่ต้องมีประชามติ) 4. พรรคภูมิใจไทยห้ามทำให้รัฐบาลมีเสียงข้างมาก และ 5. พรรคประชาชนยังคงเป็นฝ่ายค้าน และไม่เข้าสู่รัฐบาล โดยเป้าหมายหลัก คือ การผลักดันให้ประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งใหม่ และกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว

ซึ่งหากพิจารณาไทม์ไลน์ของการเลือกตั้งใหม่ มีโอกาสดำเนินการตามช่วงเวลา ดังนี้ เดือนที่ 1 (เดือน ก.ย. 2568 – หลังโหวตนายกฯ) นายกรัฐมนตรีใหม่ (นายอนุทิน) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ภายใน 15 วันหลังได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งและเริ่มกระบวนการ พิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เดือนที่ 2 (เดือน ต.ค. 2568) หากต้องทำประชามติ ออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดวันประชามติจัดให้เสร็จภายใน 90 วัน แต่หากไม่ต้องทำประชามติ เสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภา (ใช้เวลาอย่างเร็ว 1 เดือนในการพิจารณา 3 วาระ)

เดือนที่ 3 (เดือน พ.ย. 2568) กรณีมีประชามติ ลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีไม่ต้องประชามติ ผ่านวาระ 3 แล้วตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)” และเดือนที่ 4 (เดือน ธ.ค. 2568) ยุบสภาฯ ตามข้อตกลง (กรอบ 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย) ออก พ.ร.ฎ. ยุบสภา กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45–60 วัน (ตามกฎหมายเลือกตั้ง สส. ม.102)

ทั้งนี้ หากยุบสภาเดือน ธ.ค. 2568 วันเลือกตั้งทั่วไปจะอยู่ประมาณเดือน ก.พ.–มี.ค. 2569 จากนั้น กกต. รับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วัน รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งจะเข้ามารับหน้าที่ประมาณเดือน เม.ย.–พ.ค. 2569

ซึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา คือ เส้นตาย 4 เดือน ถ้าไม่ยุบสภาตามกำหนด ข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคประชาชน-ภูมิใจไทยจะเสียความชอบธรรม ขณะที่การแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าต้องทำประชามติอาจกินเวลามากกว่า 4 เดือน รัฐบาลอาจยุบสภาก่อน แล้วให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการต่อ ส่วนเลือกตั้งใหม่เร็วสุด จะเป็นเดือน ก.พ. 2569 (ถ้ายุบเดือน ธ.ค. 2568) ช้าที่สุด จะอยู่ที่กลางปี 2569 (ถ้าประชามติหรือขั้นตอน รธน. ล่าช้า)

อย่างไรก็ตาม คาดการเลือกตั้งปี 2569 อาจคึกคักเป็นพิเศษ เซนติเมนต์ดีต่อตลาดฯ เวลามีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นได้ดี อาจเหมือนตลาดหุ้นเกาหลีใต้หลังเลือกตั้งประธานาธิบดีมา 3 เดือน (เดือนมิ.ย.-ส.ค. 2568) ปรับตัวขึ้นมาแรงกว่า 18% อีกทั้งไทม์ไลน์เลือกตั้งปี 2569 มีทั้งเลือกนายกฯ กับผู้ว่ากทม. มาบรรจบกันพอดีในรอบ 30 ปี น่าจะคึกคักเป็นพิเศษกว่าปีอื่น ๆ

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ หุ้นสื่อโฆษณา ที่จะมีการจัดงานเลือกตั้งซ้อนกัน ทั้งเลือกนายกฯ และผู้ว่ากทม. แนะนำ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB, บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC

หุ้นจับจ่ายใช้สอย (รับนโยบายประชานิยม) แนะนำ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN

และหุ้นรับนโยบายการเงินสนับสนุน แนะนำ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD, บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR

Back to top button