พาราสาวะถี

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความเห็นประชาชนล่าสุด สถานการณ์ท่านผู้นำน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการจำกัดสิทธิเสรีภาพมากเกินไปจนอาจเกิดการต่อต้านไม่ยอมรับ โดยอาการน่าเป็นห่วง 3 ประการ ได้แก่ ไม่ฟังเสียงประชาชนและฝ่ายการเมือง เกิดแรงกดดันหลายด้านหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ และ ผลงานของรัฐบาลโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่ไร้วี่แววจะกระเตื้อง


อรชุน

 

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความเห็นประชาชนล่าสุด สถานการณ์ท่านผู้นำน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการจำกัดสิทธิเสรีภาพมากเกินไปจนอาจเกิดการต่อต้านไม่ยอมรับ โดยอาการน่าเป็นห่วง 3 ประการ ได้แก่ ไม่ฟังเสียงประชาชนและฝ่ายการเมือง เกิดแรงกดดันหลายด้านหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ และ ผลงานของรัฐบาลโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่ไร้วี่แววจะกระเตื้อง

สรุปง่ายๆ คือ แค่เร่ขายฝัน วาดความหวังว่ามันจะดีอย่างโน้นอย่างนี้ ตัวเลขที่โพนทะนาต้องไปถามประชาชน โดยเฉพาะคนรากหญ้าหรือกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากที่คณะผู้มีอำนาจพยายามสร้างวาทกรรมเรียกขานทำให้ดูดี วันนี้เงินในกระเป๋าตุงหรือแฟบ อารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยควักจ่ายกันสนุกมือ หรือต้องรัดเข็มขัดกันสุดชีวิต

ภาพแห่งความเป็นจริงคืออะไร เข้าใจว่าท่านผู้นำน่าจะรู้อยู่แก่ใจ แต่ฟังคำตอบของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังประชุมครม.ก็ไม่แน่ใจว่าไปรับฟังข้อมูลมาแบบไหนหรือท่านเข้าใจว่าอย่างไร รัฐบาลได้ทำการยึดโยงเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อให้รายได้กระจายไปถึงคนระดับฐานรากให้ได้ มิเช่นนั้น ทุกคนจะยังทำอาชีพแบบเดิมทั้งหมด เพราะไม่มีทางเลือก ไม่มีโอกาสที่เปิดกว้างในหลายพื้นที่หลายจังหวัด

คำถามก็คือ เศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ท่านว่ามันคืออะไร แล้วเกิดการจ้างงานมากมายขนาดไหน และเป็นการจ้างที่ยั่งยืนหรือไม่ หากคำตอบไม่สามารถอธิบายข้อกังขาแค่สองสามประการนี้ได้ มันก็ชัดเจนแล้วว่า สิ่งที่ท่านได้ยินได้ฟังมานั้นมันน่าจะเป็นข้อมูลที่สอพลอ ขายฝันเสียมากกว่า ยิ่งเรื่องประเทศไทย 4.0 จนถึงนาทีนี้ยอมรับกันไหมว่ายังห่างไกลจากโลกแห่งความเป็นจริง

ยิ่งได้ฟัง ปรเมธี  วิมลศิริ  เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสศช. ฟุ้งเรื่องสัญญาณเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกเติบโตสูงกว่า 3% แล้วตามมาด้วยปัจจัยเชิงบวกอีกหลายๆ ประการ ยิ่งเห็นภาพของการใช้ตัวเลขด้านดีมาทำสงครามโฆษณาชวนเชื่อได้อย่างเด่นชัด สอดรับกับการโพนทะนาของโฆษกรัฐบาลก่อนหน้านี้

ทั้งๆ ที่เลขาฯสศช.ก็ยอมรับเองในการแถลงข่าวคราวเดียวกันว่า การลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งเป็นภาคส่วนที่รัฐบาลตั้งความหวังว่า จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังคงติดลบ 1.1% ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามนั้นคือสถานการณ์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบจากความขัดแย้งของประเทศต่างๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงเรื่องภาวะสงคราม

ก่อนที่จะลงท้ายว่า ภาวะด้านลบต่างๆ เหล่านั้นยังไม่ได้ประเมิน อ้าว!สรุปแล้วสถานการณ์มันจะดีขึ้นอย่างที่ท่านป่าวประกาศจริงไหมเนี่ย คงต้องรับฟังกันไปแล้วเอาใจช่วยผู้มีอำนาจเพื่อให้เกิดความสบายใจ ส่วนเรื่องการเปลี่ยนตัวทีมเศรษฐกิจ ก็อย่างที่ฟันธงไว้ล่วงหน้า ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องปรับ ก็เขามีความเชื่อมั่นเชื่อมือกันอย่างนั้น

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ฟังผู้นำชี้แจงแถลงไขแล้ว มันไม่เป็นไปในแนวทางที่ท่านพยายามอธิบาย กรณีหมุดคณะราษฎร ท่านบอกว่าอย่าทำให้เป็นประเด็นและขอให้ทุกคนมีประชาธิปไตยในหัวใจ ประมาณว่าอย่าไปยึดติดกับสิ่งที่เป็นเพียงสัญลักษณ์ เพราะคณะรัฐประหารก็มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่เช่นกัน พร้อมยืนยันเรื่องรับฟังความเห็นทุกฝ่าย ทุกทาง และมีการนำไปปฏิบัติด้วย

แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยอย่างกรณีถนนชำรุด ตรงนี้ต้องปรบมือให้ท่านดังๆ ที่แสดงความใส่ใจต่อความเดือดร้อนของประชาชน แต่ที่บอกว่าเปิดใจกว้าง รับฟังความเห็นต่าง ปุจฉาที่ผุดขึ้นมาทันทีคือ แล้วทำไมทหารถึงรวบตัว ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่เดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกฯให้ติดตามหาหมุดคณะราษฎร ไปปรับทัศนคติในมณฑลทหารบกที่ 11

จนศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่า การควบคุมตัวดังกล่าวเจ้าหน้าที่ทหารไม่มีฐานอำนาจทางกฎหมายใดในการควบคุมตัว การควบคุมตัวดังกล่าวเป็นการควบคุมตัวไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันขัดต่อพันธกรณีในข้อ 9 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR ซึ่งรับรองว่า บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกาย บุคคลจะถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอำเภอใจมิได้ โดยประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามกติกาดังกล่าว

การยื่นจดหมายขอให้ตรวจสอบการกระทำความผิดนั้นเป็นสิทธิตามกฎหมายซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถกระทำได้ โดยหลักแล้วเจ้าหน้าที่รัฐต้องเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ทหารกลับดำเนินการในทางตรงกันข้าม โดยใช้กำลังเข้าควบคุมตัวผู้ยื่นจดหมาย ซึ่งถือเป็นการควบคุมตัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำดังกล่าวยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าประเทศไทยขาดซึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แม้กระทั่งการใช้ช่องทางการตรวจสอบที่รัฐจัดไว้ให้ก็ไม่สามารถกระทำได้

กลายเป็นว่า ปฏิบัติการล็อกตัวที่เกิดขึ้นเป็นการใช้ปมหมุดคณะราษฎรจัดการศรีสุวรรณ โดยหวังผลไปถึงการเคลื่อนไหวอื่นๆ ก่อนหน้าที่ไม่ถูกใจผู้มีอำนาจทั้งหลายหรือไม่ ดังนั้น การอธิบายของบิ๊กตู่ที่ยกเอาประเด็นเรื่องความมั่นคงมาเป็นเหตุผลในการบังคับใช้กฎหมาย กรณียื่นจดหมายเพื่อให้ตามหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันเกี่ยวกับประชาธิปไตยของประเทศ ก็ไม่น่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคง

จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายให้สังคมหายเคลือบแคลงก็คงลำบาก เพราะขณะที่ศรีสุวรรณจะไปยื่นให้ตามหาหมุดแล้วถูกจับไปปรับทัศนคติ วันเดียวกันก็มีกลุ่มที่ไปยื่นหนังสือถึงบิ๊กตู่เช่นเดียวกัน เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการเปลี่ยนหมุดคณะราษฎร ปรากฏว่าไม่ถูกดำเนินการใดๆ ด้วยเหตุนี้จึงหนีไม่พ้นข้อครหากรณีการจับศรีสุวรรณน่าจะเป็นเรื่องท่าทีเฉพาะบุคคลมากกว่า

ตอกหน้าแบบนิ่มๆ และทำให้เห็นว่าพฤติกรรมของบางคนนั้นยึดถือกฎหมายโดยเคร่งครัดหรือไม่ วิษณุ เครืองาม บอกประชาชนหรือกลุ่มบุคคลไปแจ้งความกรณีหมุดคณะราษฎรหายได้ในฐานะพลเมืองดี ส่วนที่ พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพรามณกุล บอกว่าดำเนินการไม่ได้นั้น เป็นเรื่องของการร้องทุกข์ที่จะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ น่าสนใจไม่น้อย คนที่คุมคดีสำคัญๆ ไฉนจึงเลือกที่จะหยิบเอาประเด็นของกฎหมายมาบอกกล่าวประชาชนเพียงด้านเดียว ตัวอย่างแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ความเชื่อมั่นต่อวงการสีกากีเสื่อมทรุด

Back to top button