พาราสาวะถี

แบไต๋กันขนาดนี้จะรออะไรอีก การที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างว่าพรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้มาทาบทาม แม้จะมีการประกาศว่าจะเสนอชื่อตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในอันดับ 1 หรืออาจจะเป็นเพียงแค่คนเดียวก็ตาม แต่ก็อ้างว่าเคยมีรัฐมนตรีที่ทำงานร่วมกันไปบริหารพรรค จึงน่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจร่วมงานได้ง่ายขึ้น


อรชุน

แบไต๋กันขนาดนี้จะรออะไรอีก การที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างว่าพรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้มาทาบทาม แม้จะมีการประกาศว่าจะเสนอชื่อตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในอันดับ 1 หรืออาจจะเป็นเพียงแค่คนเดียวก็ตาม แต่ก็อ้างว่าเคยมีรัฐมนตรีที่ทำงานร่วมกันไปบริหารพรรค จึงน่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจร่วมงานได้ง่ายขึ้น

ไม่รู้ว่าทีมกุนซือคิดอะไรกันอยู่ เพราะความจริง สิ่งที่ทำกันอยู่นั้นมันสร้างความหมั่นไส้ให้คนส่วนใหญ่เสียมากกว่า ก็เขารู้กันตั้งแต่ไปจดจัดตั้งพรรคดังว่าแล้ว ใครจะมาเป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค รู้กระทั่งว่าใครบงการอยู่เบื้องหลัง และใครคือคนที่พรรคการเมืองนี้จะส่งชิงตำแหน่งนายกฯ มากไปกว่านั้นคือ รู้กันอยู่แล้วว่านี่คือพรรคของการสืบทอดอำนาจ

ไม่จำเป็นต้องลีลา หรือจะมาสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองและองคาพยพดูดี ก็เปิดตัวกันขนาดนี้ และมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองที่เป็นตัวแทนสร้างพลังดูดชนิดเย้ยฟ้าท้าดิน ไม่มีการใช้กฎหมายใด ๆ เล่นงาน แม้กระทั่งคำสั่งของ คสช.เองเรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มันก็ชัดเสียยิ่งกว่าชัดแล้วว่า จังหวะก้าวทางการเมืองของคณะเผด็จการนั้นจะเดินกันอย่างไร

ยิ่งมองไปที่กลไกด้านกฎหมาย ซึ่งเนติบริกรชั้นครูได้รวมหัวกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ปูทางให้หัวหน้าเผด็จการพร้อมคณะเดินกันสะดวกโยธิน พร้อม ๆ กับการตีกันไม่ให้พรรคการเมืองอื่นมีที่ยืนหรือทำให้พรรคใหญ่กลายเป็นพรรคเล็ก สิ่งเหล่านี้หากไม่เดียงสากันจนเกินไป หรือคิดว่าคนส่วนใหญ่กินหญ้า ทุกคนต่างรู้ดีว่า เผด็จการ คสช.จะวางมือแล้วหันหลังกลับไปพักผ่อน ยวข้อง ปูทางให้หัวหน้าเผด็จการรหรืออยู่ในอำนาจต่อไปตราบนานเท่านาน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หัวหน้าเผด็จการคงต้องปรามลิ่วล้อโดยเฉพาะแกนนำจากกลุ่มสามมิตร อย่าได้หาเหตุผลใดมาอธิบายเพื่อให้การสืบทอดอำนาจของตัวเองดูดีอีกเลย เพราะยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว และมันทำให้เกิดความรู้สึกว่าคนพวกนี้มองคนอื่นโง่และรู้ไม่ทัน การอ้างว่ามีแค่พลเอกประยุทธ์มาร่วมพรรคเพียงคนเดียว ไม่ใช่ทหารทั้งคณะ จะเรียกว่าสืบทอดอำนาจได้อย่างไร ถ้าไม่อย่างหนาจริงจะพูดแบบนี้ไม่ได้

ไม่เพียงเท่านั้น การยกตรรกะบ้องตื้นอย่างเรื่องการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารบก ที่อ้างว่าไม่ใช่บูรพาพยัคฆ์ แค่นี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าไม่ได้มีเจตนาในการสืบทอดอำนาจ ยิ่งเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่ ไม่อยากเชื่อว่านักการเมืองผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน ที่ครั้งหนึ่งเคยไปยืนร้องไห้หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะมาชี้แจงถึงการสืบทอดอำนาจแบบหน้าทนเช่นนี้

แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการแสดงท่าทีทางการเมืองของหัวหน้าเผด็จการ คงเป็นท่วงทำนองของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อกระแสข่าวที่ว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยกหูหา เฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรคเก่าแก่ เพื่อชักชวนให้มาร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ โดยยินดีที่จะยกกระทรวงเกรดเอให้ครอบครอง

ร้อนถึงพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ต้องออกมาแก้ต่าง ไม่เคยมีเบอร์โทรศัพท์ของเฉลิมชัย ไม่เคยคุยกันและไม่เคยติดต่อกับคนของพรรคเก่าแก่ แม้จะเคยร่วมงานกันมาในยุครัฐบาลเทพประทานนานกว่า 3 ปี แน่นอนว่า เมื่อไร้หลักฐานก็ย่อมที่จะพิสูจน์ได้ยากว่ามีการคุยกันเกิดขึ้นหรือไม่ แต่หากมองไปยังสายสัมพันธ์กันก่อนหน้า รวมทั้งท่าทีของพรรคการเมืองแห่งนี้ก่อน และหลังการรัฐประหารหมาด ๆ มันก็ชวนให้เชื่อได้ว่ามีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

เมื่อเห็นสูตรแลกเปลี่ยนยกกระทรวงเกรดเอให้แบบนี้ มันก็เหมือนกับคราวที่ไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยความที่อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนตัวสั่น ประกอบกับมือประสานอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ คุยกันลงตัวกับผู้มีอำนาจพิเศษที่ไปดึงเอา เนวิน ชิดชอบ พร้อมอดีต ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนเวลานั้นให้สวมวิญญาณงูเห่า มาสังฆกรรมด้วย จึงเกิดภาพของการยกครีมให้ทีมของห้อยร้อยยี่สิบไปรับประทาน ในขณะที่พรรคแกนหลักของรัฐบาลต้องรับประทานอุจจาระแทน

ดังนั้น ข่าวที่เกิดขึ้นแม้จะมีการปฏิเสธมาจากฟากฝั่งที่เกี่ยวข้อง แต่ด้วยรูปรอยที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อไม่นานมานี้ มันจึงทำให้คนเชื่อว่ามีมูลความจริง อย่างไรก็ตาม หัวหน้าพรรคเก่าแก่ก็รีบปฏิเสธพร้อมฉายภาพการเมืองก่อนการเลือกตั้งทันทีว่า มี 3 ขั้วการเมืองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ยากที่จะร่วมงานกันได้คือ พลังประชารัฐ เพื่อไทย และประชาธิปัตย์ พร้อม ๆ กับการอธิบายในหลักการตามสไตล์คนพรรคนี้ถือลักษณะเฉพาะของแต่ละขั้วการเมือง

อย่างที่มองกันไปก่อนหน้า ถ้ามีจังหวะคนของประชาธิปัตย์จะต้องรีบแผ้วถางทางของตัวเองเพื่อให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ไม่ใช่ถูกจับยัดไปอยู่ฝั่งหนึ่งฝั่งใด เพราะในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น คนส่วนใหญ่มองกันแค่ว่าจะมีฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการ หรือฝ่ายหนุนประยุทธ์กับฝ่ายต่อต้านเท่านั้น แน่นอนว่า พรรคเก่าแก่ย่อมถูกจับยัดไปอยู่ในฝั่งเผด็จการ

ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายามจะแสดงบทบาท เสนอตัวให้ประชาชนเห็นว่า พรรคของตัวเองนั้นยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย เดินตามระบบ ไม่ได้ตกเป็นเครื่องมือของการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ด้วยภาพของการเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมสร้างความขัดแย้งที่ผ่านมา การบอยคอตเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหน และเป็นแกนหลักที่โบกมือดักกวักมือเรียกรัฐประหาร จึงทำให้คนจำนวนมากยากที่จะเชื่อว่าประชาธิปัตย์จะเดินบนเส้นทางของตัวเองอย่างที่พยายามจะทำอยู่

ถือเป็นกรรมเก่า และมีการพูดกันมาโดยตลอด หากวันนั้นอภิสิทธิ์และคณะเลือกเดินบนเส้นทางประชาธิปไตย ใช้ระบบรัฐสภาในการแก้ไขปัญหา ไม่สร้างวาทกรรมเรื่องเผด็จการรัฐสภา ไม่กลัวแพ้เลือกตั้งซ้ำซาก ปล่อยให้ทุกอย่างเดินตามครรลองที่ควรจะเป็น วันนี้ตัวเองก็อาจจะได้ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ จากที่นำพาพรรคชนะเลือกตั้งอย่างสง่างามไปแล้ว แต่เมื่อเลิกเดินทางผิดนอกจากจะไม่ชนะคู่แค้นสำคัญอย่างพรรคของนายใหญ่  ยังมีพรรคใหม่หาญกล้าขึ้นมาทาบรัศมีและทำท่าว่าจะยิ่งใหญ่กว่าเสียด้วย อย่างนี้จะโทษใครดี นอกจากสมน้ำหน้าตัวเอง

Back to top button