BKD ยังมีดี

ต่อจากนี้ราคาหุ้น BWG จะมีการปรับตัวขึ้นอีกครั้งทันทีที่บริษัทส่งสัญญาณความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 9.4 เมกะวัตต์ จากวัสดุอุตสาหกรรมไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตรายเป็นเจ้าแรกของไทย มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการผ่านบริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด บริษัทย่อยในนิคมอุตสาหกรรมแก่งคอย จังหวัดสระบุรี


เชื่อกันว่าต่อจากนี้ราคาหุ้นของ บริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน) หรือ BKD จะมีการปรับตัวอีกครั้ง อานิสงส์หลังบริษัทได้งานเพิ่ม ช่วยผลักดัน Backlog ในมือมากกว่า 3,000 ล้านบาท  ประกอบกับในช่วงไตรมาส 2 ปี 58 ที่ผ่านมา บริษัทมีการเซ็นงานได้เพิ่มเติม 2 โครงการ คือ ที่ทำการกรุงเทพมหานคร และสภาทนายความ มูลค่ารวมประมาณ 850 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการประมูลงานเพิ่มเติมมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท ด้วยงานในมือที่หนาแน่นและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นนี้จะเติบโตอย่างโดดเด่น

พร้อมกับ BKD มีโอกาสได้รับงานอย่างต่อเนื่องในอนาคต รวมถึงในตลอดช่วงที่ผ่านมามีงานจากหน่วยงานรัฐบาลและเครือโรงแรมต่างๆ ซึ่งมีแผนการก่อสร้างและตกแต่งภายในอย่างต่อเนื่อง  อีกทั้งมีทุนจดทะเบียนถึง 400 ล้านบาท และมีสภาพคล่องทางการเงิน ทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบในการประมูลงานมูลค่าสูง นอกจากนี้ BKD ยังมีความเสี่ยงด้านลูกหนี้ต่ำ เนื่องจากรายได้กว่า 80% มาจากงานของภาครัฐ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่ายังมีอัพไซด์ (upside) จากโครงการตกแต่งโรงแรมในเครือ Plaza Athenee ที่นิวยอร์ก มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท, งานตกแต่งบ้านที่กัมพูชาอีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 800 ล้านบาท ซึ่งได้เซ็น MOU แล้ว แต่ยังไม่รวมเข้ามาใน Backlog, รวมถึงโครงการพัฒนาที่ดิน 20 ไร่ บริเวณกรุงเทพกรีฑา มูลค่า 3,000 ล้านบาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2558 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 194.88 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 167.75 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 13.08 ล้านบาท หรือ 0.02 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 11.13 ล้านบาท หรือ 0.01 บาทต่อหุ้น

เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรตัดสินใจลงทุนพบว่า ฐานะทางการเงินยังคงแข็งแรงมาก เนื่องจากบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 605.29 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 168.16 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 3.60 เท่า แสดงว่า ตัวบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนคล่องข้างมากพอสมควร และอาจเกิดทุนจมได้

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมเพียง 199.06 ล้านบาท เมื่อ นำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 637.40 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.32 เท่า แสดงว่า บริษัทยังไม่มีหนี้สินใดๆ มารบกวน

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล ฟิลลิป แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 4.65 บาท อิง P/E ของปี 58 ที่ 29 เท่า  

 

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

1. นางนุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ 317,451,800 หุ้น 45.35%

2. น.ส.ณัฐนันท์ ประสงค์ชัยกุล 43,497,100 หุ้น 6.21%

3. นางภัคจิรา วิทยา 30,029,400 หุ้น 4.29%

4. น.ส.กนกนารถ รัตนสุวรรณชาติ 30,000,000 หุ้น 4.29%

5. นายพิชัย โอทยากุล 23,400,000 หุ้น 3.34%

 

รายชื่อกรรมการ

1.นายวินัย วิทวัสการเวช ประธานกรรมการ

2.นางนุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ ประธานกรรมการบริหาร

3.นางนุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ กรรมการผู้จัดการ

4.นางสาวกนกนารถ รัตนสุวรรณชาติ กรรมการ

5.นางธนนันท์ ซาโต กรรมการ

Back to top button